Share
![cover art for ความเลื่อมใสเฉพาะบุคคล [6809-6t]](https://open-images.acast.com/shows/637609d5c54c93001104ab43/show-cover.jpg?height=750)
6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ความเลื่อมใสเฉพาะบุคคล [6809-6t]
ความเลื่อมใส (ศรัทธา )ที่เรามีอย่างถูกต้องในคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แม้จะมีเหตุปัจจัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม เราก็ย่อมทำการปฏิบัติของเราให้เจริญและงดงามได้ เพราะด้วยศรัทธาที่เราตั้งไว้อย่างถูกต้องแล้ว
#ข้อ241-#244 สูตร 1 เป็นธรรมคู่ตรงข้าม ว่าด้วย โทษของทุจริต ทางกาย วาจา และ ใจ (อกุศลกรรมบถ 10) มีโทษ คือ 1) แม้ตนก็ติเตียนตนเองได้ 2) ผู้รู้ย่อมติเตียน 3) กิตติศัพท์อันชั่วย่อมกระฉ่อนไป 4) หลงลืมสติตาย 5) ตายแล้วไปเกิดในอบาย นรก
#ข้อ245-#248 สูตร 2 จะมีไส้ในเหมือนกับสูตร 1 แต่มีความแตกต่างในตอนท้าย คือไส้ในของข้อที่ 4 เสื่อมจากสัทธรรม และข้อที่ 5 ตั้งอยู่ในอสัทธรรม
#ข้อ249_สีวถิกสูตร ว่าด้วยป่าช้า เป็นธรรมที่อุปมาอุปไมยป่าช้ากับคน คือ บุคคลที่ประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ 10 ย่อมไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น (ชื่อเสีย) มีภัย (ไม่อยากอยู่ด้วย) เป็นที่อยู่ของอมนุษย์ (คนไม่ดีมาอยู่รวมกัน) เป็นที่คร่ำครวญของคนหมู่มาก (หมดอาลัย)
#ข้อ250_ปุคคลัปปสาทสูตร ว่าด้วยความเลื่อมใสเฉพาะบุคคล เมื่อความเลื่อมใสเกิดขึ้นกับเฉพาะบุคคลย่อมมีโทษ คือ เมื่อบุคลที่เราเลื่อมใสถูกยกวัตร ถูกสั่งให้นั่งท้าย ย้ายไปที่อื่น ลาสิกขา หรือทำกาละ จึงไม่เลื่อมใส ไม่คบภิกษุเหล่าอื่น จึงไม่ได้ฟังธรรม เป็นเหตุให้เสื่อมจากพระสัทธรรม
พระไตรปิฎกเล่มที่ 22 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 14 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ทุจจริตวรรค
More episodes
View all episodes
14. ห้วงแห่งบุญกุศล [6814-6t]
57:18||Season 68, Ep. 14ข้อที่ #38_ สัปปุริสสูตร ว่าด้วยคุณประโยชน์ของสัตบุรุษ สัตบุรุษ (คนดี) ย่อมเกิดมาเพี่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่คนหมู่มาก กล่าวคือเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่มารดาบิดา บุตรภรรยา ทาส กรรมกร คนใช้ มิตรและอำมาตย์ (เพื่อนสนิท) ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว พระราชา เหล่าเทวดา และสมณพราหมณ์ข้อที่ #39_อภิสันทสูตร ว่าด้วยห้วงบุญกุศล "ห้วงบุญกุศล" ในที่นี้หมายถึงผลแห่งบุญกุศลซึ่งหลั่งไหลนำความสุขมาสู่ผู้บำเพ็ญอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล มีผัสสะใดมากระทบก็อารมณ์ดีได้เพราะจิตอยู่ในห้วงของบุญ เป็นลักษณะอารมณ์ของฌาน 2 (ปิติสุข) ห้วงบุญกุศล 8 ประการนี้ ได้แก่อะไรบ้าง คือ เป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะและเป็นผู้มีมหาทาน (คือ มีศีล 5) ข้อที่ #40_ทุจจริตวิปากสูตร ว่าด้วยวิบากแห่งทุจริต ผลแห่งการกระทำที่ไม่ดี ทุจริต 8 ประการนี้ ย่อมมีผลทำให้เกิดในนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรตวิสัย และส่งผลวิบากอย่างเบาซึ่งได้แก่ ผลจากการฆ่าสัตว์ - ทำให้เป็นผู้มีอายุน้อย, การลักทรัพย์ - ทำให้เป็นผู้เสื่อมโภคทรัพย์, การประพฤติผิดในกาม - เป็นผู้มีศัตรูและเป็นผู้มีเวร, การพูดเท็จ - ถูกกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง, การพูดส่อเสียด - แตกจากมิตร, การพูดหยาบคาย - ให้ได้ฟังเรื่องที่ไม่น่าพอใจ, การพูดเพ้อเจ้อ - มีวาจาที่ไม่น่าเชื่อถือ, การดื่มสุราและเมรัย -ให้เป็นผู้วิกลจริตพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ทานวรรค13. บุคคลผู้ไปตามกระแส [6813-6t]
55:00||Season 68, Ep. 13ข้อที่ #5_อนุโสตสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ไปตามกระแส กล่าวถึงการไปตามกระแสของตัณหาหรือไม่ ของบุคคล 4 ประเภท คือ 1) ผู้ไปตามกระแส คือ ไปตามกามจนถึงทำบาปกรรม 2) ผู้ทวนกระแส คือบวชแล้ว และใช้ความพยายามอย่างมาก ในการหลีกออกจากกาม 3) ผู้มีภาวะตั้งมั่น หมายถึงอนาคามี และ 4๗ ผู้ข้ามพ้นฝั่ง คืออรหันต์ ข้อที่ #6_อัปปัสสุตสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีสุตะน้อย เอาคำว่ามีสุตะมากหรือน้อยกับการเข้าถึงหรือไม่เข้าถึงสุตะ ต่อให้คุณมีสุตะน้อย แต่ถ้ามีการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นั่นคือการเข้าถึงสุตะที่แท้จริง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สามารถพัฒนาให้มีเพิ่มคู่กันไปได้ ข้อที่ #7_โสภณสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ทำหมู่ให้งาม พูดถึงพุทธบริษัท 4 แต่ละประเภทที่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถทำหมู่ให้งามได้ด้วยคุณธรรม ความเป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับคำแนะนำดี แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมข้อที่ #8_เวสารัชชสูตร ว่าด้วยญาณเป็นเหตุให้แกล้วกล้า คือ ญาณอันเป็นเหตุให้แกล้วกล้าของพระพุทธเจ้า คือความมั่นใจว่าศัตรูหมดไปแล้วจริง ๆ ญาณเหล่านี้เราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้ เพราะเมื่อมีแล้วจะไม่มีความประหม่าเกรงกลัวใด ๆ ข้อที่ #9_ตัณหุปปาทสูตร ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งตัณหา ตัณหาเมื่อจะเกิดย่อมเกิดเพราะปัจจัย 4 เป็นเหตุข้อที่ #10_โยคสูตร ว่าด้วยโยคะ คือ กิเลสที่ผูกมัดไว้ในภพ ได้แก่ กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะ อวิชชาโยคะ การพรากจากโยคะจะเกิดได้ ก็ด้วยการปฏิบัติตามมรรค 8 พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ภัณฑคามวรรค12. บุญกิริยาวัตถุ [6812-6t]
58:15||Season 68, Ep. 12ข้อที่ #35_ทานูปปัตติสูตร ว่าด้วยผลที่เกิดจากการให้ทาน บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานเพราะหวังสิ่งตอบแทน คือหวังการไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้เอิบอิ่มพรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณ 5 หวังการไปเกิดเป็นเทวดาในชั้นต่าง ๆ ทั้ง 6 ชั้น และหวังการไปเกิดเป็นพรหมในชั้นพรหมกายิกา แล้วด้วยเขาเหล่านั้นเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ จึงได้ตามที่ปรารถนาไว้ แต่ความปรารถนานั้นยังเป็นไปในทางต่ำ กล่าวคือมีความพอใจ มีความข้องอยู่ในภพนั้น จึงไม่อาจเห็นสิ่งที่จะเจริญกว่าหรือพัฒนาให้เจริญยิ่งขึ้นไปได้ *ข้อสังเกต ผู้ที่หวังไปเกิดในชั้นพรหมกายิกา คือนอกจากจะเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์แล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่ปราศจากราคะด้วย ในที่นี้ราคะถูกข่มไว้ด้วยอำนาจของฌาน (สมถะ) มิใช่ด้วยปัญญาข้อที่ #36_ปุญญกิริยาวัตถุสูตร ว่าด้วยบุญกิริยาวัตถุ คือการบำเพ็ญบุญอันเป็นเหตุให้เกิดอานิสงส์ แบ่งเป็น 3 ประการ คือ บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทาน ศีล และภาวนา แล้วนำมาอธิบายได้ 8 นัยยะ โดยทั้ง 8 นัยยะนั้นไม่มีบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จได้ด้วยการภาวนาเลย โดยนัยยะแรกบุญที่เกิดจากทำทานและมีศีลนิดหน่อย ทำให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้โชคร้ายไม่มีอันจะกิน และนัยยะที่ 2 บุญที่สำเร็จได้ด้วยทานและศีลพอประมาณ ทำให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้โชคดี และนัยยะที่ 3-8 บุญที่สำเร็จได้ด้วยทานและศีลอันยิ่ง ทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นและได้ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยฐานะ 10 ประการในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ**ข้อสังเกต การภาวนา คือการพัฒนาหรือการทำให้เจริญ เราสามารถทำทานของเราให้มีอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยการให้ทานเพราะเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต ให้จิตเกิดความนุ่มนวลอ่อนเหมาะในการเจริญสมถะและวิปัสสนาเพื่อให้เข้าถึงปัญญาอันสูงสุดข้อที่ #37_สัปปุริสทานสูตร ว่าด้วยสัปปุริสทาน คือทานของสัตบุรุษ มีลักษณะ 8 ประการด้วยกันให้ของสะอาดให้ของประณีตให้เหมาะกาล ให้ถูกเวลาให้ของสมควร ให้ของที่ควรแก่เขา ซึ่งเขาจะใช้ได้พิจารณาเลือกให้ ให้ด้วยวิจารณญาณ เลือกของ เลือกคนที่จะให้ ให้เกิดผลเกิดประโยชน์มากให้เนืองนิตย์ ให้ประจำ หรือสม่ำเสมอเมื่อให้ ทำจิตผ่องใสให้แล้วเบิกบานใจพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ทานวรรค11. การตรัสรู้ธรรมเป็นเหตุสิ้นภพ [6811-6t]
55:14||Season 68, Ep. 11จตุกกนิบาต ภัณฑคามวรรค หมวดธรรม 4 ประการ ว่าด้วยพุทธกิจในภัณฑคาม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านภัณฑคาม แคว้นวัชชีอนุพุทธสูตร ว่าด้วยการตรัสรู้ธรรมเป็นเหตุสิ้นภพ ของพระพุทธเจ้าและอนุพุทธะ เพราะการไม่รู้ซึ่งศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุต จึงทำให้ต้องเร่ร่อนท่องเที่ยวไป เกิดแล้วเกิดอีก เจอทุกข์แล้วเจอทุกข์อีก วนไป จะไม่เกิดก็ด้วยการรู้ธรรมทั้ง 4 ประการนี้ ปปติตสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ที่ตกหล่นจากธรรมวินัย ก็คือผู้ที่ออกนอกอริยมรรคและวิมุต วิมุตในที่นี้หมายถึงผล นั่นเอง การดับทุกข์ได้เป็นข้อ ๆ เพราะความสมบรูณ์ในข้อนั้น ๆ แล้วค่อยพัฒนาไปตามลำดับ จะเจอแบบทดสอบที่ต่างกันไปในแต่ละข้อ ปฐมขตสูตรและทุติยขตสูตร ว่าด้วยเหตุให้ตนถูกกำจัด หัวข้อมีความเหมือนกันแต่ต่างกันในรายละเอียด ในปฐมขตสูตร คือ การไม่พิจารณาไม่ไตร่ตรอง ไม่เลื่อมใส หรือเลื่อมใสในบุคคลให้ถูกต้อง เป็นเหตุให้ประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญ ผู้รู้ติเตียน ส่วนในทุติยขตสูตรเหตุที่จะทำให้ตนถูกกำจัด คือ การปฏิบัติผิดในมารดา บิดา ตถาคต และสาวกของตถาคตพระไตรปิฎกเล่มที่ 21 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 13 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ภัณฑคามวรรค10. ว่าด้วยทาน 8 ประการ [6810-6t]
55:55||Season 68, Ep. 10ข้อที่ 31 ปฐมทานสูตร เกี่ยวกับลักษณะของการให้ทาน 8 ประการ บางคนให้เมื่อประสบเข้า บางคนให้เพราะกลัวคำตำหนิหรือกลัวนรก บางคนให้เพราะเขาให้แล้วแก่เรา บางคนให้เพราะเขาน่าจะให้เรา บางคนให้เพราะการให้ทานเป็นการดี บางคนให้เพราะเราหุงหาอาหารกินเองได้แต่ชนเหล่านั้นไม่สามารถทำได้ บางคนให้ด้วยคิดว่ากิตติศัพท์อันงามจะขจรไป บางคนให้ด้วยเป็นเครื่องประดับจิตในการเจริญสมถะและวิปัสสนา ผลของการให้เรียงจากน้อยมามากตามลำดับข้อที่ 32 ทุติยทานสูตร พูดถึงทานที่เป็นกุศล มี 3 ลักษณะ คือ ศรัทธา หิริ และทานที่เป็นกุศลอันสัตบุรุษดำเนินการแล้ว ทำแล้วได้ไปเทวโลก ที่น่าสังเกตคือมีเพียงสามไม่ใช่แปด จึงน่าจะมาจากคาถาท้ายพระสูตรนั่นเองข้อที่ 33 ทานวัตถุสูตร ว่าด้วยทานวัตถุ คือเหตุแห่งการให้ทาน คือบางคนให้เพระรัก เพราะชัง เพราะหลง เพราะกลัว เหล่านี้คืออคติ4 บางคนให้เพราะปู่พ่อเคยให้ บางคนให้เพราะตายแล้วได้ไปสวรรค์ บางคนให้เพราะเกิดความชื่นชมโสมนัส บางคนให้เพราะเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตข้อที่ 34 เขตตสูตร ว่าด้วยนาดีและนาไม่ดี มีอุปมาอุปไมยที่เหมือนและต่างกันคู่กัน ลักษณะพื้นที่มีความสำคัญต่อผลผลิต เช่นเดียวกันการให้ทานในสมณะที่ดีหรือไม่ดีย่อมมีผลแตกต่างกัน เปรียบมาตามมิจฉามรรคและสัมมามรรค พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 15 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกายอัฏฐกนิบาต คหปติวรรค8. ขณะที่ไม่สมควรอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ [6808-6t]
59:30||Season 68, Ep. 8ข้อที่ #28_ทุติยพลสูตร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรถึงกำลังแห่งญาณของภิกษุขีณาสพว่า “ภิกษุขีณาสพมีกำลังเท่าไร จึงปฏิญญาความสิ้นอาสวะทั้งหลายว่า อาสวะของเราสิ้นแล้ว” ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลว่า..ภิกษุขีณาสพเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า... สังขารทั้งปวงมีสภาวะไม่เที่ยง... กามทั้งหลายเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิงจิตของภิกษุขีณาสพเป็นธรรมชาติน้อมไปตั้งอยู่ในวิเวก(นิพพาน) ยินดีในเนกขัมมะ ปราศจากเงื่อนธรรม(ปราศจากตัณหาไม่มีความยึดถือ)สติปัฏฐาน 4 เป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพเจริญอบรมดีแล้วอิทธิบาท 4 ...ฯอินทรีย์ 5 ... ฯโพชฌงค์ 7 ... ฯอริยมรรคมีองค์ 8 ... ฯ ข้อที่ #29_อักขณสูตร กาลที่ไม่ใช่ขณะ (ไม่ใช่โอกาส) ไม่ใช่สมัยที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ 8 ประการ คือ...ต่อให้มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นและพระธรรมคำสอนยังมีอยู่ แต่ถ้าบุคคลนั้น... ตกอยู่ในนรก ก็ไม่ใช่ขณะ(ไม่ใช่โอกาส)ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ได้ ... กำเนิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน...ฯ... เข้าถึงเปรตวิสัย...ฯ... เข้าถึงเทพนิกายเป็นอสัญญีสัตว์(พรหมลูกฟัก ไม่มีรูป ไม่มีสัญญา)...ฯ... เกิดในปัจจันตชนบท (คำสอนไปไม่ถึง)...ฯ... เกิดในมัชฌิมชนบท (มีภิกษุสงฆ์ มีคำสอน) แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ...ฯ... เกิดในมัชฌิมชนบทแต่เป็นคนมีปัญญาทราม ไม่สามารถจะรู้เนื้อความแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้...ฯต่อให้ไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีพระธรรมแม้จะเกิดในมัชฌิมชนบทมีปัญญาดี ก็ไม่ใช่ขณะ(ไม่ใช่โอกาส)ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ได้**แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ควรแก่การประพฤติพรหมจรรย์มีประการเดียวเท่านั้นคือ ช่วงที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้น มีพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ได้อัตภาพความเป็นมนุษย์มีปัญญาเป็นสัมมาทิฎฐิและอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ยังมีคำสอนอยู่(ยังมีสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี)ข้อที่ #30_อนุรุทธมหาวิตักกสูตร สมัยหนึ่งพระอนุรุทธะหลีกเร้นอยู่ในที่สงัดในป่าจีนวังสทายวัน ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธเกิดความคิดอย่างนี้ว่า นี้เป็นธรรม 4 ของบุคคลผู้มักน้อย (มักน้อยในปัจจัย, การบรรลุ, ปริยัตติ, ธุดงค์) ไม่ใช่ธรรมของบุคคลผู้มักมาก นี้เป็นธรรมของบุคคลผู้สันโดษ ไม่ใช่ธรรม... ผู้ไม่สันโดษ ... ผู้สงัด ไม่ใช่ธรรม... ผู้ยินดีในการคลุกคลี... ผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ธรรม... ผู้เกียจคร้าน ... ผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ธรรม... ผู้หลงลืมสติ ... ผู้มีใจตั้งมั่น ไม่ใช่ธรรม... ผู้มีใจไม่ตั้งมั่น ... ผู้มีปัญญา ไม่ใช่ธรรมของบุคคลผู้มีปัญญาทรามพระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดของท่านพระอนุรุทธะด้วยพระทัยแล้ว ทรงหายจากที่เภสกฬามิคทายวันไปปรากฏต่อหน้าท่านพระอนุรุทธะที่ปาจีนวังสทายวัน ทรงรับรองมหาปุริสวิตกทั้ง 7 ข้อ และทรงบอกเพิ่มมหาปุริสวิตกข้อที่ 8 คือ นี้เป็นธรรมของบุคคลผู้ยินดีในนิปปปัญจธรรม ไม่ใช่ธรรมของบุคคลผู้ยินดีในปปัญจธรรม (ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ตัณหา, มานะ, และทิฏฐิ) เมื่อตรึกในธรรมทั้ง 8 ประการนี้แล้ว มีฌานทั้ง 4 เป็นที่หวังได้ จะเป็นผู้ที่อยู่อย่างผาสุกในปัจจัย 4 คือ การใช้ปัจจัย 4 เป็นบาทฐานแห่งการบรรลุธรรมพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 15 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกายอัฏฐกนิบาต คหปติวรรค7. ผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตนเองและผู้อื่น [6807-6t]
55:17||Season 68, Ep. 7ความเดิมได้กล่าวถึงคุณธรรมที่น่าอัศจรรย์ของอุคคคฤหบดี ชาวกรุงเวสาลี, อุคคตคฤหบดี ชาวหัตถีคาม และ ตถกอุบาสก ชาวเมืองอาฬวี ซึ่งอุบาสกทั้ง 3 ท่านเป็นอริยบุคคล และถึงความเป็นเอตทัคคะ (ผู้เลิศ) ในด้านต่าง ๆข้อที่ #24_ทุติยหัตถกสูตร กล่าวถึงการสงเคราะห์บริษัทด้วยสังคหวัตถุ 4 ประการ ของท่านหัตถกอุบาสก และคุณธรรมที่น่าอัศจรรย์ของท่านหัตถกอุบาสกอีก 8 ประการ คือ เป็นผู้มีศรัทธา มีศีล มีหิริ-โอตตัปปะ เป็นพหูสูต มีจาคะ มีปัญญา และเป็นผู้มีความมักน้อยข้อที่ #25_มหานามสูตร และ #26_ชีวกสูตร ทั้ง 2 พระสูตรนี้ กล่าวถึงคำถามของท่านมหานามะและหมอชีวกโกมารภัจ ที่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าเกี่ยวกับคุณธรรมของอุบาสก โดยมีเนื้อหาที่เหมือนกันดังนี้บุคคลชื่อว่าอุบาสก ด้วยเหตุเพียงเท่าไร => เป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ (ที่พึ่ง ที่ระลึกถึง)อุบาสกชื่อว่าผู้มีศีล ด้วยเหตุเพียงเท่าไร => ผู้มีศีล 5อุบาสกชื่อว่าผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตนเอง แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น ด้วยเหตุเพียงเท่าไร => ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา (1) ศีล (2) จาคะ (3) เป็นผู้ประสงค์จะเห็นภิกษุ (4) ประสงค์จะฟังสัทธรรม (5) จำธรรมที่ฟังแล้วไว้ได้ (6) เป็นผู้พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ฟังแล้ว (7) เป็นผู้รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (8) แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ฯลฯอุบาสกชื่อว่าผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตนเองและเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น ด้วยเหตุเพียงเท่าไร => ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ฯลฯ และ ชักชวนผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ฯลฯข้อที่ #27_ปฐมพลสูตร ว่าด้วยกำลัง กล่าวถึงกำลังของบุคคลต่าง ๆ ดังนี้เด็กมีการร้องไห้เป็นกำลังมาตุคามมีความโกรธเป็นกำลังโจรมีอาวุธเป็นกำลังพระราชามีอิสริยยศเป็นกำลังคนพาลมีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลังบัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลังคนผู้เป็นพหูสูตมีการพิจารณาเป็นกำลังสมณพราหมณ์มีขันติ (อธิวาสนขันติ คือยังมีอารมณ์โกรธอยู่ แต่อดกลั้นไว้ได้ ไม่แสดงสิ่งที่เป็นอกุศลทางกาย วาจา ใจ ออกไป) เป็นกำลัง*กำลังในที่นี้หมายถึง สิ่งที่เมื่อเราใช้มันแล้วจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเรา **ประเด็นคือ เราจะพัฒนาเอาสิ่งไหนมาเป็นกำลังของเรา เป็นกำลังที่จะนำพาไปสู่ความเป็นอริยะได้พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 15 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต คหปติวรรค6. ธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข [6806-6t]
56:30||Season 68, Ep. 6“สมาธิ” คือเครื่องอยู่ที่จะทำให้เกิด “ความผาสุก” เป็นความสุขอีกประเภทที่เหนือกว่าสุขเวทนาและทุกขเวทนาผาสุวิหารสูตร #ข้อ 94 ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ให้เกิดความผาสุก คือ สมาธิในขั้นที่ 1-4 (รูปฌาน) เป็นความพ้นจากกิเลสที่อาจจะยังกลับกำเริบได้ อุปไมยเหมือนหินทับหญ้า แต่ถ้าประกอบด้วยเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ คือไม่เร่าร้อนไปตามอำนาจกิเลส เป็นความสิ้นไปแห่งอาสวะนั่นเองอกุปปสูตร #ข้อ 95 ผู้มีธรรมไม่กลับกำเริบ คือ ปฏิสัมภิทา 4 ปัญญาแตกฉานในอรรถ (เข้าใจความหมายได้หลายนัยยะ) ธัมมนิรุตติ (เข้าใจภาษาได้ลึกซึ้ง) ปฏิภาณ (ไหวพริบถาม-ตอบปัญหา) และการพิจารณาจิตตามที่หลุดพ้นแล้วในแต่ละขั้น ฝึกสังเกตเห็นการเกิด-ดับ เสริมปัญญาให้ถึงธรรมะที่ไม่กลับกำเริบได้#ข้อ 96-98 ธรรม 5ประการนี้ เมื่อทำอานาปานสติก็จะบรรลุธรรมได้ไม่นานนัก มีไส้ในที่เหมือนกันอยู่ 4 ประการ คือมีธุระน้อย ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง นอนน้อย พิจารณาจิตตามที่หลุดพ้นแล้ว ส่วนที่แตกต่างใน สุตธรสูตร #ข้อ 96 คือ เป็นพหูสูต ฟังธรรมมาก ส่วนใน กถาสูตร #ข้อ 97 คือ กถาวัตถุ 10 ทำให้จิตเปิดโล่ง มาคิดในทางที่จะทำให้เกิดการบรรลุธรรม และ อารัญญกสูตร #ข้อ 98 คือ อยู่ป่าเป็นวัตร เป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาทสีหสูตร #ข้อ 99 การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าที่เปรียบเทียบไว้ว่าเหมือน “ราชสีห์ บรรลือสีหนาท” คือ เป็นผู้หนักในธรรม เมื่อจะแสดงธรรมแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และปุถุชน ก็จะแสดงโดยเคารพในธรรมพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 14 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต กกุธวรรค