6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก

  • 50. บุคคล 9 จำพวก [6850-6t]

    54:45||Season 68, Ep. 50
    หมวดข้อธรรม 9 ประการใน สัมโพธิวรรค หมวดว่าด้วยสัมโพธิข้อที่ 6 เสวนาสูตร ว่าด้วยสิ่งที่ควรเสพและไม่ควรเสพ แสดงโดยท่านพระสารีบุตร สอนหลักการพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น บุคคล (มี 4 ประเภท), จีวร, บิณฑบาต, เสนาสนะ, หมู่บ้าน, ชนบท มีทั้งส่วนที่ "ควรเสพ" เพื่อให้กุศลธรรมเจริญและอกุศลเสื่อม และส่วนที่ "ไม่ควรเสพ" เพื่อป้องกันอกุศลเพิ่มพูน โดยเน้นให้ใช้ปัญญาพิจารณาตามเหตุปัจจัยว่าสิ่งใดส่งเสริมความดี หรือส่งเสริมความชั่วแก่ตน*สอนให้ใช้ปัญญาใคร่ครวญเลือกเสพสิ่งที่เกื้อกูลต่อการพัฒนาตนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม และละเว้นสิ่งที่เป็นโทษต่อการพัฒนาตนนั้นเอง ข้อที่ 7 สุตวาสูตร ว่าด้วยปริพาชกชื่อสุตวา กล่าวถึงเรื่องราวของปริพาชก (นักบวช) ชื่อ สุตวา ที่เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ภูเขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ เพื่อสนทนาปราศรัย และได้ทูลถามเรื่องสำคัญเกี่ยวกับฐานะ 9 ประการที่พระอรหันต์นั้นไม่อาจล่วงละเมิด ได้แก่ไม่อาจจงใจปลงชีวิตสัตว์ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้ไม่เสพเมถุนธรรมไม่พูดเท็จไม่สะสมบริโภคกามไม่ลำเอียงเพราะชอบไม่ลำเอียงเพราะชังไม่ลำเอียงเพราะหลงไม่ลำเอียงเพราะกลัว ข้อที่ 8 สัชฌสูตร ว่าด้วยปริพาชกชื่อสัชฌะ ปรารภปริพาชกชื่อ สัชฌะ มีเนื้อหาคล้าย สุตวาสูตร มีข้อธรรมที่ 1-5 เหมือนกัน แต่แตกต่างกันในข้อที่ 6-9 ได้แก่ ไม่อาจบอกคืน (ไม่ปฏิเสธว่าไม่มี) พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และไม่อาจบอกคืนสิกขา  ข้อที่ 9 ปุคคลสูตร ว่าด้วยบุคคล 9 จำพวก กล่าวถึงบุคคล 9 จำพวกที่มีปรากฎอยู่บนโลก ได้แก่ อริยบุคคล 8 จำพวก (ขั้นมรรคและผล) และ ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป ข้อที่ 10 อาหุเนยยสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ควรแก่ของที่เขานำมาถวาย กล่าวถึง บุคคลผู้ควรแก่ของที่เขานำมาถวาย ฯลฯ ได้แก่ อริยบุคคล 8 จำพวก และ โคตรภูบุคคล (บุคคลที่อยู่ตรงหัวต่อระหว่างความเป็นปุถุชนกับความเป็นอริยบุคคล ซึ่งเป็นช่วงที่จิตกำลังจะก้าวข้ามปุถุชนเข้าสู่โสดาปัตติมรรค) พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต สัมโพธิวรรค
  • 49. เหตุที่ทำให้บุคคลต่างกัน [6849-6t]

    54:09||Season 68, Ep. 49
    หมวดข้อธรรม 4 ประการ ใน ภยวรรค หมวดว่าด้วยภัยข้อที่ 121 อัตตานุวาทสูตร ว่าด้วยอัตตานุวาทภัย กล่าวถึงภัย 4 ประการ ได้แก่อัตตานุวาทภัย (ภัยที่เกิดจากการติเตียนตนเอง)ปรานุวาทภัย (ภัยที่เกิดจากการที่ผู้อื่นติเตียน)ทัณฑภัย (ภัยที่เกิดจากการลงโทษ)ทุคติภัย (ภัยที่เกิดจากอบายทั้ง 4)*ความกลัวต่อภัยทั้ง 4 ประการนี้ จะทำให้บุคคลนั้นมีสติยับยั้งชั่งใจในการดำเนินชีวิตตามกรอบของศีลธรรมอันดีได้ ข้อที่ 122 อูมิภยสูตร ว่าด้วยภัยจากคลื่น กล่าวถึงภัย 4 ประการ ที่กุลบุตรผู้มีความศรัทธาออกบวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยนี้พึงประสบ โดยทรงเปรียบเทียบกับภัยที่คนลงไปในน้ำจะต้องพบเจอ ได้แก่อูมิภัย (ภัยจากคลื่น): เปรียบเสมือนความไม่อดทนต่อคำสั่งสอนหรือคำตักเตือนพร่ำสอนของเพื่อนภิกษุด้วยกันกุมภีลภัย (ภัยจากจระเข้): เปรียบเสมือนการเห็นแก่ปากแก่ท้องอาวัฏฏภัย (ภัยจากน้ำวน): เปรียบเสมือนความยินดีพอใจในกามคุณทั้ง 5 (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้จมอยู่ในวัฏสงสารสุสุกาภัย (ภัยจากปลาร้าย): เปรียบเสมือนการประพฤติตนไม่เหมาะสม ไปคบหากับมาตุคาม (ผู้หญิง) หรือบุคคลที่เป็นภัยต่อพรหมจรรย์ ข้อที่ 123 ปฐมนานากรณสูตร ว่าด้วยเหตุที่ทำให้บุคคลต่างกัน สูตรที่ ๑ กล่าวถึงความแตกต่างของบุคคล 4 จำพวก โดยจำแนกตามระดับการเข้าถึงฌานและผลที่จะได้รับหลังมรณภาพ ดังนี้บุคคลบางคน บรรลุปฐมฌาน เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงเทวดาชั้นพรหมบุคคลบางคน บรรลุทุติยฌาน เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นพวกเทวดาชั้นอาภัสราภูมิบุคคลบางคน บรรลุตติยฌาน เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นสุภกิณหาภูมิบุคคลบางคน บรรลุจตุตถฌาน เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นเทวดาชั้นเวหัปผลาภูมิ ข้อที่ 124 ทุติยนานากรณสูตร ว่าด้วยเหตุที่ทำให้บุคคลต่างกัน สูตรที่ ๒ กล่าวถึงบุคคล 4 จำพวกเหมือนปฐมนานากรณสูตรแต่เน้นมาที่การเป็นอริยบุคคลขั้นอนาคามี โดยเพิ่มการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ห้าในฌานขั้นนั้นๆ เข้าไปด้วย ข้อที่ 127 -128 ปฐม - ทุติยตถาคตอัจฉริยสูตร ว่าด้วยเหตุอัศจรรย์ของพระตถาคต สูตรที่ ๑ และ ๒ กล่าวถึงเหตุอัศจรรย์ 4 ประการที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการอุบัติขึ้นของพระตถาคต และเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม ข้อที่ 129 อานันทอัจฉริยสูตร ว่าด้วยความเป็นอัจฉริยะของพระอานนท์ แสดงถึงอัศจรรย์ 4 ประการของท่านพระอานนท์ ซึ่งเป็นเหตุให้พุทธบริษัท 4 รัก และอยากฟังธรรม ข้อที่ 130 จักกวัตติอัจฉริยสูตร ว่าด้วยความเป็นอัจฉริยะของพระเจ้าจักรพรรดิ กล่าวถึงความน่าอัศจรรย์ 4 ประการ คือ เมื่อขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัทได้เข้าเฝ้า ได้ปฏิสันถารกับพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าแม้พระเจ้าจักรพรรดิทรงนิ่งก็ยังอิ่มใจพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ภยวรรค
  • 48. พระนันทกะแสดงธรรม [6848-6t]

    54:26||Season 68, Ep. 48
    หมวดธรรม 9 ประการใน สัมโพธิวรรค หมวดว่าด้วยสัมโพธิข้อที่ 4 นันทกสูตร ว่าด้วยพระนันทกะแสดงธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับท่านพระนันทกะ หลังจากที่พระนันทกะได้แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายเสร็จสิ้น โดยพระองค์ประทับยืนคอยฟังอยู่จนจบกถา ในเนื้อหาได้กล่าวถึงธรรมที่ควรบำเพ็ญให้บริบูรณ์ทั้ง 4 ประการ (ซึ่งเปรียบเหมือนกับสัตว์สี่เท้าที่ขาข้างใดบกพร่องพิการ ย่อมไม่บริบูรณ์) ได้แก่ศรัทธาศีลเจโตสมาธิภายในความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่งและอานิสงส์ของการฟังธรรมและสนทนาธรรมตามกาล 5 ประการ ได้แก่ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ เป็นที่เคารพ และเป็นที่ยกย่องของพระศาสดาโดยวิธีนั้นๆ (วิธีแสดงธรรม)ย่อมเป็นผู้รู้อรรถและรู้ธรรมในธรรมนั้นโดยวิธีนั้นๆย่อมเห็นแจ้งบทที่ลึกซึ้งในธรรมนั้นด้วยปัญญาเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายย่อมยกย่องเธออย่างยิ่งว่า ‘ท่านผู้นี้ได้บรรลุแล้ว หรือกำลังบรรลุแน่แท้’ผู้ที่กำลังบรรลุ - ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง โดยวิธีนั้น ๆผู้ที่บรรลุแล้ว - อยู่เป็นสุข ข้อที่ 5 พลสูตร ว่าด้วยพละ “พละ” (กำลัง หรือพลัง) ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ช่วยให้ดำเนินชีวิตและปฏิบัติธรรมไปจนถึงความหลุดพ้น ได้กล่าวถึง พละ 4 ประการ ได้แก่ปัญญาพละ (กำลังคือปัญญา) - ความรอบรู้ แยกแยะกุศลหรืออกุศได้วิริยพละ (กำลังคือความเพียร) - ทำในสิ่งที่ควรทำ เว้นในสิ่งที่ควรเว้นอนวัชชพละ (กำลังคือกรรมที่ไม่มีโทษ) - ความสุจริตทางกาย วาจา ใจสังคหพละ (กำลังคือการสงเคราะห์) - การช่วยเหลือผู้อื่นผู้ประกอบด้วยพละ 4 ประการนี้ ย่อมข้ามพ้นภัย 5 ประการนี้ได้อาชีวิกภัย (ภัยเนื่องด้วยการเลี้ยงชีพ)อสิโลกภัย (ภัยคือความเสื่อมเสียชื่อเสียง)ปริสสารัชชภัย (ภัยคือความครั่นคร้ามในบริษัท)มรณภัย (ภัยคือความตาย)ทุคคติภัย (ภัยคือทุคติ) พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต สัมโพธิวรรค
  • 47. ความไม่ประมาท [6847-6t]

    57:59||Season 68, Ep. 47
    หมวดข้อธรรม 4 ประการ ใน เกสิวรรค หมวดว่าด้วยเกสีสารถีผู้ฝึกม้าข้อที่ 115 ฐานสูตรว่าด้วยฐานะแห่งความเสื่อมและความเจริญ คือ หลักธรรมที่สอนให้พิจารณาการกระทำของตนเอง โดยจำแนกเป็น 4 ฐานะ ดังนี้1.      กระทำสิ่งที่ไม่น่าพอใจและเป็นไปเพื่อความฉิบหาย2.      กระทำสิ่งที่ไม่น่าพอใจแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์3.      กระทำสิ่งที่น่าพอใจแต่เป็นไปเพื่อความฉิบหาย4.      กระทำสิ่งที่น่าพอใจและเป็นไปเพื่อประโยชน์*การปฏิบัติธรรมตามหลักนี้จะช่วยให้ละเว้นความเสื่อมและส่งเสริมความเจริญ บัณฑิตจะทราบว่าควรทำหรือไม่ควรทำ โดยดูที่ประโยชน์หรือโทษเป็นเกณท์ ข้อที่ 116_อัปปมาทสูตร ว่าด้วยความไม่ประมาท เมื่อมีการตั้งตนไว้ในความไม่ประมาทในธรรม 4 ประการนี้แล้ว ย่อมไม่กลัวต่อความตายที่จะมาถึง ได้แก่ การละกาย-วาจา-ใจทุจริตและมิจฉาทิฏฐิ แล้วมาเจริญกาย-วาจา-ใจสุจริตและสัมมาทิฏฐิ ข้อที่ 117 อารักขสูตร ว่าด้วยสติเครื่องรักษา เมื่อมีธรรมนี้แล้วจะไม่เป็นผู้หวั่นไหวสะดุ้งสะเทือนไปตามมงคลตื่นข่าว กล่าวคือ การไม่กำหนัด ไม่ขัดเคือง ไม่หลง ไม่มัวเมาในธรรมที่เป็นเหตุนั้น ๆ เป็นการเบรคจิตด้วยสติ ข้อที่ 118 สังเวชนียสูตร ว่าด้วยสังเวชนียสถาน กล่าวถึงสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า สังเวชนียสถานเหล่านี้มีความหมายว่า "สถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช" และเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดความระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำความดีและความเพียรในการปฏิบัติตามมรรคแปด ข้อที่ 119 ปฐมภยสูตร ว่าด้วยภัยภายใน สูตรที่ ๑ กล่าวถึงภัยที่เกิดจาก การเกิด (การที่ต้องเกิดใหม่) ความแก่ชรา ความเจ็บ และ ความตาย ซึ่งเป็นภัยที่ช่วยกันไม่ได้*การตระหนักถึงภัยทั้ง 4 นี้ทำให้เข้าใจถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากสังขารที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ข้อที่ 120 ทุติยภยสูตร ว่าด้วยภัยภายนอก สูตรที่ ๒ ภัยจากภายนอกที่อาจเกิดขึ้นได้ 4 ประการ ได้แก่ 1. อัคคีภัย (ภัยจากไฟ) 2. อุทกภัย (ภัยจากน้ำ) 3. ราชภัย (ภัยจากพระราชา) และ 4. โจรภัย (ภัยจากโจร)*ภัยจากภายนอกนี้ เป็นภัยที่ยังพอจะช่วยกันได้ ขึ้น ภยวรรค หมวดว่าด้วยภัยข้อที่ 121 อัตตานุวาทสูตร ว่าด้วยอัตตานุวาทภัย พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายถึงภัย 4 ประการ ได้แก่1.      อัตตานุวาทภัย: ภัยคือการติเตียนตนเอง2.      ปรานุวาทภัย: ภัยคือการที่ผู้อื่นติเตียน3.      ทัณฑภัย: ภัยคืออาชญา (การถูกลงโทษทางโลก เช่น ถูกปรับ ถูกจำคุก)4.      ทุคติภัย: ภัยคือทุคติ (การไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดีหลังความตาย)*สอนให้มีความละอายแก่ใจและเกรงกลัวต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) จนสามารถควบคุมตนเองไม่ให้กระทำความชั่วได้ แม้ว่าจะไม่มีใครเห็นหรือไม่มีใครมาลงโทษในทันทีก็ตาม พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เกสิวรรค ภยวรรค
  • 46. ธรรมแห่งการตรัสรู้ชอบ [6846-6t]

    53:53||Season 68, Ep. 46
    หมวดธรรม 9 ประการ เริ่มพระสูตรแรกใน สัมโพธิวรรค หมวดว่าด้วยสัมโพธิข้อที่ 1 สัมโพธิสูตร ว่าด้วยสัมโพธิ (การตรัสรู้ชอบ) กล่าวถึง เหตุที่ทำให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้เจริญขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า หากปริพาชก (นักบวชนอกศาสนา) ถามว่า อะไรเป็นเหตุให้ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้เจริญ ? ภิกษุทั้งหลายพึงตอบว่า เหตุนั้นคือ1. การมีมิตรดี2. การเป็นผู้มีศีล3. การได้ตามความปรารถนาซึ่งกถา (ธรรม) อันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เป็นที่สบายในการเปิดจิต ได้แก่ อัปปิจฉกถา (ความมักน้อย) สันตุฏฐิกถา (ความสันโดษ) ปวิเวกกถา (ความสงัด) อสังสัคคกถา (ความไม่คลุกคลี) วิริยารัมภกถา (การปรารภความเพียร) สีลกถา(ศีล) สมาธิกถา(สมาธิ) ปัญญากถา(ปัญญา) วิมุตติกถา(วิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนกถา(ความรู้ความเห็นในวิมุตติ)4. การปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม มีความมั่นคง ไม่ท้อถอย5. การเป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเห็นความเกิดและความดับ (เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อันเป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบเมื่อภิกษุตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้แล้ว พึงเจริญธรรม 4 ประการให้ยิ่งขึ้นไปอีก ได้แก่1. เจริญอสุภะ (ความไม่งามของกาย) เพื่อละราคะ2. เจริญเมตตา เพื่อละความพยาบาท3. เจริญอานาปานสติ (สติกำหนดลมหายใจเข้าออก) เพื่อตัดวิตก (ความคิดฟุ้งซ่าน)4. เจริญอนิจจสัญญา (ความหมายรู้ในความไม่เที่ยง) เพื่อถอนอัสมิมานะ (ความถือตัวว่าเป็นเรา)*ผู้ที่เจริญอนิจจสัญญาได้แล้ว อนัตตสัญญาก็จะปรากฏ (เห็นว่าไม่ใช่ตัวตน) และจะบรรลุนิพพานในปัจจุบันข้อที่ 2 นิสสยสูตร ว่าด้วยนิสสัย กล่าวถึง ลักษณะของภิกษุที่เรียกว่า "ผู้ถึงพร้อมด้วยนิสสัย" (ที่พึ่งอาศัย) โดยมีใจความสำคัญดังนี้• ภิกษุจะชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยที่อาศัยได้ เมื่อเธออาศัยธรรม 5 ประการต่อไปนี้ แล้วสามารถละอกุศลธรรม (ความชั่ว) และเจริญกุศลธรรม (ความดี) ได้1. อาศัยศรัทธา (พระรัตนตรัย)2. อาศัยหิริ (ความละอายแก่ใจ)3. อาศัยโอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป)4. อาศัยวิริยะ (ความเพียร)5. อาศัยปัญญา (ปัญญาอันเป็นอริยะ)• ภิกษุนั้นเมื่อดำรงอยู่ในธรรม 5 ประการนี้แล้ว ควรอาศัยธรรมอีก 4 ประการในการปฏิบัติ1. พิจารณาแล้วเสพ: พิจารณาไตร่ตรองก่อนที่จะบริโภคหรือใช้สอยปัจจัย 42. พิจารณาแล้วอดกลั้น: อดทนต่อสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เช่น ความหนาว ความร้อน3. พิจารณาแล้วเว้น: เว้นจากสิ่งที่เป็นโทษหรืออกุศล4. พิจารณาแล้วบรรเทา: กำจัดหรือบรรเทาอกุศลวิตกหรือบาปธรรมที่เกิดขึ้นในใจ*เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีที่พึ่งทางใจและแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง (พึ่งตน พึ่งธรรม) โดยการอาศัยหลักธรรมสำคัญ เช่น ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญา เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตและปฏิบัติธรรม เพื่อขจัดกิเลสและบรรลุความดีงามในที่สุดข้อที่ 3 เมฆิยสูตร ว่าด้วยพระเมฆิยะ กล่าวถึง พระเมฆิยะ และธรรมสำหรับแก้อกุศลวิตก 3 ประการ (กามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตก) โดยพระเมฆิยะได้เข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้าเมื่อถูกอกุศลวิตกครอบงำ และพระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรม 5 ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นแห่งจิต) ได้แก่1. มีมิตรดี2. มีศีล3. ได้ตามความปรารถนาซึ่งกถา4. มีความเพียรเพื่อละอกุศลและเจริญกุศล5. มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเห็นความเกิดและความดับเมื่อภิกษุตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้แล้ว ก็พึงเจริญธรรมอีก 4 ประการเพิ่มเติมให้ยิ่งขึ้นไป คือ1. เจริญอสุภสัญญา เพื่อละราคะ2. เจริญเมตตา เพื่อละพยาบาท3. เจริญอานาปานสติ เพื่อตัดอกุศลวิตก4. เจริญอนิจจสัญญา เพื่อเพิกถอนอัสมิมานะ*เน้นความสำคัญของการมีกัลยาณมิตร การตั้งมั่นในศีล ความเพียร และการใช้ปัญญาพิจารณาธรรม โดยเฉพาะการเจริญสติและกรรมฐานเพื่อกำจัดอกุศลวิตกและกิเลสพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต สัมโพธิวรรค
  • 45. บุรุษอาชาไนย [6845-6t]

    56:32||Season 68, Ep. 45
    หมวดข้อธรรม 4 ประการ ใน วลาหกวรรค หมวดว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนเมฆข้อที่ 107 มูสิกสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนหนู เปรียบบุคคลไว้กับหนู 4 จำพวก ได้แก่หนูขุดรูแต่ไม่อยู่ - ได้ศึกษาปริยัติแต่ไม่รู้แจ้งอริยสัจสี่หนูอยู่แต่ไม่ขุดรู - รู้แจ้งอริยสัจสี่แต่ไม่ได้ศึกษาปริยัติหนูไม่ขุดรูและไม่อยู่ - ไม่ได้ศึกษาปริยัติและไม่รู้แจ้งอริยสัจสี่หนูขุดรูและอยู่ - ได้ศึกษาปริยัติและรู้แจ้งอริยสัจสี่โดยเปรียบการ “ขุดรู” ของหนู คือการศึกษาเล่าเรียนปริยัติ และ เปรียบการ “อยู่” ของหนู คือการรู้แจ้งในอริยสัจ 4 * ความสำคัญจึงอยู่ที่การปฏิบัติ หากไม่ได้นำมาปฏิบัติก็จะไม่เกิดผล ข้อที่ 108 พลิวัททสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนโคผู้ เปรียบบุคคลไว้กับโคที่ชอบข่มเหง หรือไม่ข่มเหงต่อฝูงของตน หรือฝูงตัวอื่น คือ การทำให้กลุ่มชนหวาดกลัว หรือไม่หวาดกลัวนั่นเอง ข้อที่ 109 รุกขสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนต้นไม้ เปรียบบุคคลไว้กับต้นไม้เนื้ออ่อนและต้นไม้เนื้อแข็ง ซึ่ง “ไม้เนื้อแข็ง” เป็นไม้มีแก่นเปรียบไว้กับคนมีศีล และ “ไม้เนื้ออ่อน” เป็นไม้ไม่มีแก่นเปรียบกับคนไม่มีศีล เราเป็นคนประเภทไหนและแวดล้อมด้วยคนชนิดใด ข้อที่ 110 อาสีวิสสูตร ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนอสรพิษ เปรียบบุคคลเหมือนอสรพิษ เอาประเภทของพิษมาเป็นตัวแบ่ง “พิษแล่น” คือ ซึมซาบได้เร็วหรือช้า เปรียบดั่งความโกรธง่ายหรือยาก และ “พิษร้าย” คือ พิษร้ายมากน้อย เปรียบดั่งความคงอยู่ของความโกรธว่าหายเร็วหรือช้า ขึ้นวรรคใหม่ เกสิวรรค หมวดว่าด้วยเกสีสารถีผู้ฝึกม้าข้อที่ 111 เกสิสูตร ว่าด้วยเกสีสารถีผู้ฝึกม้า เปรียบเทียบขั้นตอนของการฝึกม้าจากนายเกสิกับการฝึกสาวกของพระพุทธเจ้ามีขั้นตอนเหมือนกัน ที่น่าสนใจ คือ ม้าหรือบุคคลที่ฝึกไม่ได้มีการฆ่าที่แตกต่างกัน “การฆ่าในธรรมวินัยนี้ คือ การไม่บอกสอนหรือเห็นว่าบุคคลนี้ไม่สามารถบอกสอนได้อีกต่อไป ไม่ใช่การหมายเอาชีวิต” เพราะการฝึกนี้ไม่ใช้ทั้งอาชญาและศาสตรา ให้ย้อนกลับมาดูว่าเราพัฒนาแก้ปัญหาในกลุ่มคนอย่างไร ใช้ธรรมะล้วน ๆ หรือไม่ และการฆ่าไม่ใช่ไม่บอกสอนตลอดไปแค่พักรอจังหวะ เพราะคนเราเปลี่ยนแปลงได้ เช่น พระเทวฑัตและพระฉันนะ ให้มีเมตตากรุณาอย่าอุเบกขาอย่างเดียว ข้อที่ 112 ชวสูตร ว่าด้วยความว่องไวของม้าต้นและของภิกษุ คุณสมบัติของม้ากับของภิกษุที่คู่ควร ซื่อตรง คือ ศรัทธา ว่องไว คือ รู้อริยสัจชั้นโสดาบัน อดทนต่อทุกขเวทนา สงบเสงี่ยม คือ มีฌาน 4 ข้อที่ 113 ปโตทสูตร ว่าด้วยปฏักของสารถี ม้าดีแต่มีความต่างกันต่อปฏักอยู่ 4 ระดับ คือ เห็นเงา แทงขน แทงผิว แทงกระดูก เปรียบดั่งการได้ยินได้รู้หรือได้เห็นการตายของบุคคลในระดับต่าง ๆ จนมาถึงความเจ็บป่วยของตนเองแล้วจึงค่อยเร่งปฏิบัติ ข้อที่ 114 นาคสูตร ว่าด้วยองค์ของช้างต้น คุณสมบัติช้างที่ดีในหนึ่งตัวมีครบสี่ กับบุคคลที่ถ้ามีครบก็เป็นอริยบุคคลรู้ฟัง: ใครกล่าวธรรมเงี่ยโสตฟังรู้ประหาร: รู้จักละอกุศลรู้อดทน: อดทนต่อทุกขเวทนา รู้ไป: ไปนิพพาน ทิศที่ไม่เคยไปตลอดกาลอันยาวนาน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต วลาหกวรรค เกสิวรรค
  • 44. การประพฤติชอบ [6844-6t]

    50:12||Season 68, Ep. 44
    หมวดข้อธรรม 8 ประการ พระสูตรที่ 10 ใน สติวรรค หมวดว่าด้วยสติสัมปชัญญะข้อที่ 90 สัมมาวัตตนสูตร ว่าด้วยการประพฤติชอบ ว่าด้วยเรื่อง "วัตรปฏิบัติ" หรือข้อปฏิบัติที่ภิกษุที่ถูกสงฆ์ลงโทษ (ตัสสปาปิยสิกากรรม) จะต้องประพฤติชอบในธรรม 8 ประการนี้ไม่พึงให้อุปสมบท: งดเว้นจากการเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ผู้อื่นไม่พึงให้นิสสัย: งดเว้นจากการรับภิกษุอื่นไว้ในความดูแล (เป็นอาจารย์)ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก: งดเว้นจากการให้สามเณรมาปรนนิบัติรับใช้ไม่พึงรับสมมติเป็นผู้สั่งสอนภิกษุณี: ไม่รับตำแหน่งผู้สอนภิกษุณีแม้ได้รับสมมติแล้วก็ไม่พึงสั่งสอนภิกษุณี: หากเคยได้รับสมมติแล้ว ก็ต้องงดการสอนภิกษุณีไม่พึงรับสมมติอะไรๆ จากสงฆ์: ไม่ยอมรับตำแหน่งหรือภารกิจใดๆ ที่สงฆ์มอบหมาย ไม่รับตำแหน่งทางสงฆ์อื่นใดอีกไม่พึงดำรงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าอะไรๆ: ไม่แสวงหาหรือรับตำแหน่งผู้นำไม่พึงให้ประพฤติวุฏฐานพิธี (พิธีออกจากกรรม) เพราะตำแหน่งเดิมนั้น: ไม่ใช้สิทธิจากตำแหน่งเดิมเพื่อทำพิธีการทางสงฆ์ (เช่น การสวดถอนอาบัติสังฆาทิเสส) พระสูตรที่ 1-26 (ข้อที่ 91-116) ใน สามัญญวรรค หมวดว่าด้วยธรรมที่เหมือนกัน ใน 26 พระสูตรนี้มีข้อธรรม 8 ประการที่เหมือนกัน คือ ศีล 8 แตกต่างกันที่หัวข้อเป็นการปรารภถึงอุบาสิกา 26 ท่าน โดยใช้พระสูตรข้อที่ 43 วิสาขาสูตร ในการเทียบเคียง โดยปรารภถึง โพชฌาอุบาสิกา สิริมาอุบาสิกา ปทุมาอุบาสิกา สุธัมมา อุบาสิกา มนุชาอุบาสิกา อุตตราอุบาสิกา มุตตาอุบาสิกา เขมาอุบาสิกา รุจีอุบาสิกา จุนทีราชกุมารี พิมพีอุบาสิกา สุมนาราชกุมารี มัลลิกาเทวี ติสสาอุบาสิกา ติสสมาตาอุบาสิกา โสณาอุบาสิกา โสณมาตาอุบาสิกา กาณาอุบาสิกา กาณมาตาอุบาสิกา อุตตรานันทมาตาอุบาสิกา วิสาขามิคาร-มาตาอุบาสิกา ขุชชุตตราอุบาสิกา สามาวดีอุบาสิกา สุปวาสาโกฬิยธิดา สุปปิยาอุบาสิกา นกุลมาตาคหปตานี  ข้อที่ 117-626 ใน ราคเปยยาล (เบ็ดเตล็ด)โดยการนำเอาหัวข้อหลักธรรมเหล่านี้ ได้แก่ ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... โกธะ (ความโกรธ) ... อุปนาหะ (ความผูกโกรธ) ... มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน) ... ปลาสะ (ความตีเสมอ) ...อิสสา (ความริษยา) ... มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ... มายา (มารยา) ... สาเถยยะ (ความโอ้อวด) ... ถัมภะ (ความหัวดื้อ) ... สารัมภะ (ความแข่งดี) ... มานะ (ความถือตัว)... อติมานะ (ความดูหมิ่นเขา) ... มทะ (ความมัวเมา) ... ปมาทะ (ความประมาท) มาแยกย่อยโดยมีรูปแบบที่เหมือนกัน คือ เพื่อรู้ยิ่งราคะ ... เพื่อกำหนดรู้... เพื่อความสิ้น ... เพื่อละ ... เพื่อความสิ้นไปแห่ง ... เพื่อความเสื่อมไปแห่ง ... เพื่อความคลายไปแห่ง ... เพื่อความดับไปแห่ง ... เพื่อความสละ ... เพื่อความสละคืนราคะ โทสะ โมหะ...ฯลฯในแต่ละข้อย่อยก็จะมีรายละเอียดย่อยอีก 3 นัยยะ คือ มรรคแปด ฌาน และ สมาธิในขั้นต่างๆ  พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สติวรรค สามัญญวรรค ราคเปยยาล
  • 48. บุคคลผู้รู้อริยสัจสี่ [6843-6t]

    57:42||Season 68, Ep. 48
    หมวดข้อธรรม 4 ประการ ใน อสุรวรรค หมวดว่าด้วยบุคคลเหมือนอสูรและเทวดา และ วลาหกวรรค หมวดว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนเมฆฉวาลาตสูตร ราควินยสูตร ขิปปนิสันติสูตร อัตตหิตสูตร และสิกขาปทสูตร มีหัวข้อเหมือนกัน แต่ต่างกันใน 5 นัยยะ เหมือนกันตรงที่แบ่งบุคคลตามการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ เพื่อตนเองหรือเพื่อผู้อื่นมาจับคู่กัน ความประณีตไล่ไปตามลำดับนัยยะที่ 1 ฉวาลาตสูตรเปรียบบุคคลที่ไม่ปฏิบัติเพื่อใครเลย เป็นเหมือนไม้ที่ตรงกลางเปื้อนอุจจาระ ปลายทั้งสองข้างลุกเป็นไฟหาค่าไม่ได้ ในขณะที่บุคคลที่ปฏิบัติเพื่อตนเองและผู้อื่น ดุจดั่งรสที่ได้จากวัวนม จนได้ยอดเนยใสในที่สุดนัยยะที่ 2 ราควินยสูตรมีตัวแปร คือ ราคะ โทสะ โมหะ จะเห็นว่าแม้คนที่มือถือสากปากถือศีล ก็ยังนับว่าเป็นคนดี เพราะอย่างน้อยก็พูดดี แม้จะทำเองยังไม่ได้ก็ตาม เขาสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้นัยยะที่ 3 ขิปปนิสันติสูตร แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ตรัสรู้นี้เพื่อตัวเอง และบอกสอนนี้เพื่อผู้อื่น เป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนัยยะที่ 4 อัตตหิตสูตรมีแต่หัวข้อนัยยะที่ 5 สิกขาปทสูตรเอาศีล 5 มาเป็นตัวแปร ซึ่งจะเป็นคนละมุมกับราควินยสูตรโปตลิยสูตร บุคคลที่ติเตียน หรือสรรเสริญตามกาลอันควรจึงจะประเสริฐสุด ไม่ใช่บุคคลที่อุเบกขาไปซะหมด จบอสุรวรรค เริ่มวลาหกวรรค ปฐมวลาหกสูตร เปรียบ เฆมที่คำราม (ฟ้าร้อง) คือ การพูด และ ฝนตก คือ ลงมือทำ ทุติยวลาหกสูตร เปรียบเทียบ เฆมที่คำราม (ฟ้าร้อง) คือ คนที่เรียนธรรม (นวังคสัตถุศาสน์) และ ฝนตก คือ รู้ชัดในอริยสัจ 4กุมภสูตร อุทกรหทสูตร และอัมพสูตร มีหัวข้อต่างกันแต่ไส้ในเหมือนกัน เป็นการรู้อริยสัจ 4 ภายในกับลักษณะภายนอกที่เห็น อาจเป็นดุจหม้อเปล่าหรือเต็ม และเปิดหรือปิดฝา หรือดุจความตื้นลึกของห้วงน้ำเงาที่เห็นกับความจริง และการสุกหรือดิบของมะม่วง พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต อสุรวรรค วลาหกวรรค
  • 42. เหตุแห่งการคว่ำบาตร [6842-6t]

    57:06||Season 68, Ep. 42
    หมวดข้อธรรม 8 ประการ ใน สติวรรค หมวดว่าด้วยสติสัมปชัญญะข้อที่ 86 ยสสูตร ว่าด้วยยศ ชาวบ้านอิจฉานังคละทราบข่าวการมาของพระพุทธเจ้า ต่างพากันส่งเสียงเพื่อมารอเข้าเฝ้าถวายข้าวของแด่พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบความนั้น จึงได้กล่าวแสดงธรรมกับท่านพระนาคิตะโดยปรารภเรื่อง “ยศ” ไว้ 2 ลักษณะ คือ การเสพสุขจากยศ ชื่อว่า สุขที่ไม่สะอาด (×) และ การไม่เสพติดยศ คือ สุขจากเนกขัมมะ (ü) โดยได้แสดงไว้ 8 ประการดังนี้ผู้ยังสัพยอกเล่นหัวกันอยู่ ×ฉันอาหารจนอิ่มท้อง แล้วหมั่นประกอบความสุขในการนอน ×ผู้อยู่ในเสนาสนะใกล้หมู่บ้าน ×ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร นั่งโงกง่วงอยู่ในป่า üผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ไม่มีสมาธินั่งอยู่ในป่า üผู้อยู่ป่าเป็นวัตร มีสมาธินั่งอยู่ในป่า üผู้อยู่ในเสนาสนะใกล้หมู่บ้าน ได้ลาภปัจจัยสี่ ละทิ้งการหลีกเร้น ×ผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ได้ลาภปัจจัยสี่ ไม่ละทิ้งการหลีกเร้น ü ข้อที่ 87 ปัตตนิกุชชนสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการคว่ำบาตรและหงายบาตร “การคล่ำบาตร” เป็นการลงโทษของภิกษุสงฆ์ที่กระทำต่ออุบาสกหรืออุบาสิกาโดยการประกาศไม่รับไทยธรรมจากอุบาสกหรืออุบาสิกานั้น และเหตุที่คว่ำบาตรมีดังนี้ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภของภิกษุ (ขัดลาภ)ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์ของภิกษุ (ประโยชน์ในปัจจุบัน = ปัจจัยสี่ / ในเวลาต่อมา = การศึกษาพระธรรม / ประโยชน์อย่างยิ่ง = มรรค ผล นิพพาน)ขวนขวายเพื่อความอยู่ไม่ได้ของภิกษุ (ทำความเดือดร้อนต่อเสนาสนะและเพศบรรพชิต)ด่าบริภาษภิกษุยุยงภิกษุให้แตกกันกล่าวติเตียนพระพุทธเจ้ากล่าวติเตียนพระธรรมกล่าวติเตียนพระสงฆ์และในทางตรงข้าม “การหงายบาตร” กระทำต่ออุบาสกหรืออุบาสิกาที่ปฏิบัติธรรมตรงกันข้ามกับธรรมที่กล่าวมาแล้ว ข้อที่ 88 อัปปสาทปเวทนียสูตร ว่าด้วยเหตุที่ควรประกาศว่าไม่ควรเลื่อมใส อุบาสกและอุบาสิกาจะประกาศความไม่เลื่อมใสต่อภิกษุด้วยเหตุที่ว่าขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภของคฤหัสถ์ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์ของคฤหัสถ์ด่าบริภาษคฤหัสถ์ยุยงคฤหัสถ์ให้แตกกันกล่าวติเตียนพระพุทธเจ้ากล่าวติเตียนพระธรรมกล่าวติเตียนพระสงฆ์อุบาสกและอุบาสิกาเห็นภิกษุนั้นในที่อโคจร ข้อที่ 89 ปฏิสารณียสูตร ว่าด้วยเหตุที่ควรลงปฏิสารณียกรรม “ลงปฏิสารณียกรรม” คือ หมู่สงฆ์มีคำสั่งลงโทษภิกษุที่ประพฤติผิดให้ไปขอขมาคฤหัสถ์ที่ตนเองได้ด่าว่าไว้ ซึ่งมีข้อธรรมเหมือนใน อัปปสาทปเวทนียสูตร ต่างกันในประการที่ 8 คือ รับคำที่ชอบธรรมของคฤหัสถ์แต่ไม่ทำตาม พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สติวรรค
loading...