Share
![cover art for ศีลอุโบสถ [6816-6t]](https://open-images.acast.com/shows/637609d5c54c93001104ab43/show-cover.jpg?height=750)
6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก
ศีลอุโบสถ [6816-6t]
“อุโบสถ” หมายถึง กาลเป็นที่เข้าจำ (คือกาลเป็นที่เข้าไปอยู่โดยการถือศีล) และคำว่า “ศีลอุโบสถ” จึงหมายถึง การเข้าจำรักษาศีล 8 ของอุบาสกและอุบาสิกาในวันขึ้นและแรม 8 ค่ำ 15 ค่ำของทุกเดือน หรือที่เรียกกันว่า “รักษาอุโบสถศีล”
ใน อุโปสถวรรค หมวดว่าด้วยอุโบสถ โดยพระสูตรที่ 41-45 คือใน 5 พระสูตรนี้ กล่าวถึงหลักธรรม 8 ประการที่เหมือนกัน ก็คือศีล 8 โดยปรารภคุณของพระอรหันต์ คือพระอรหันต์ย่อมละเว้นขาดจาก
1. การฆ่าสัตว์
2. การลักทรัพย์
3. เมถุนธรรม
4. การพูดเท็จ
5. เสพของมึนเมา
6. การฉัน (บริโภค) ตอนกลางคืน
7. การละเล่นและดูการละเล่น การประดับตกแต่งร่างกาย และเครื่องประทินผิว
8. การนอนที่นอนสูงใหญ่
แต่ละพระสูตรนั้นจะมีรายละเอียดในเรื่องของสถานที่ บุคคล และผลอานิสงส์ที่เหมือนและต่างกันออกไป
*ศีล 8 แตกต่างจากศีล 5 คือ ศีล 8 เป็นศีลที่เป็นไปเพื่อการประพฤติพรหมจรรย์เพื่อการหลีกออกจากกาม แต่ศีล 5 ยังเกี่ยวเนื่องด้วยกามอยู่
ข้อที่ #41_สังขิตตุโปสถสูตร ว่าด้วยอุโบสถโดยย่อ กล่าวถึง การรักษาศีล 8 ย่อมมีผลมีอานิสงส์มาก โดยตรัสกับภิกษุทั้งหลายที่พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี
ข้อที่ #42_วิตถตุโปสถสูตร ว่าด้วยอุโบสถโดยพิสดาร โดยได้เปรียบเทียบอานิสงส์ของการรักษาศีล 8 ไว้กับความสุขของมนุษย์ เช่น พระราชายังมีความสุขไม่ถึงเสี้ยวของผู้ที่รักษาศีล 8 โดยได้เปรียบเทียบสุขของมนุษย์ (เป็นของเล็กน้อย) ไว้กับสุขอันเป็นทิพย์ไว้ดังนี้
• 50 ปีของมนุษย์เท่ากับ 1 วันของเทวดาชั้นจาตุมหาราช (มีอายุ 500 ปีทิพย์)
• 100 ปีของมนุษย์เท่ากับ 1 วันของเทวดาชั้นดาวดึงส์ (มีอายุ 1000 ปีทิพย์)
• 200 ปีของมนุษย์เท่ากับ 1 วันของเทวดาชั้นยามา (มีอายุ 2,000 ปีทิพย์)
• 400 ปีของมนุษย์เท่ากับ 1 วันของเทวดาชั้นดุสิต (มีอายุ 4,000 ปีทิพย์)
• 800 ปีของมนุษย์เท่ากับ 1 วันของเทวดาชั้นนิมมานรดี (มีอายุ 8,000 ปีทิพย์)
• 1,600 ปีของมนุษย์เท่ากับ 1วันของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี (มีอายุ 16,000 ปีทิพย์)
ในพระคาถาท้ายพระสูตรได้กล่าวถึงอานิสงส์ของผู้ที่รักษาอุโบสถศีล (ศีล 8) ว่า “ทำบุญที่มีสุขเป็นกำไร ไม่ถูกนินทา ย่อมเข้าถึงสวรรค์”
ข้อที่ #43_วิสาขาสูตร ว่าด้วยทรงแสดงอุโบสถแก่นางวิสาขา กล่าวถึงอานิสงส์ของการรักษาศีล 8 ซึ่งเหมือนกับตถตุโปสถสูตร แต่พระสูตรนี้ทรงตรัสกับ “นางวิสาขามิคารมาตา” ในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี
ข้อที่ #44_วาเสฏฐสูตร ว่าด้วยอุบาสกชื่อว่าวาเสฏฐะ เหมือนกันกับ วิสาขาสูตร แต่ทรงตรัสกับอุบาสกชื่อว่า “วาเสฏฐะ” ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี โดยกล่าวเสริมในตอนท้ายว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์
ข้อที่ #45_โพชฌาสูตร ว่าด้วยอุบาสิกาชื่อว่าโพชฌา เหมือนกันกับวิสาขาสูตร แต่ทรงตรัสกับอุบาสิกาชื่อว่า “โพชฌา”
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต อุโปสถวรรค
More episodes
View all episodes
19. พุทธกิจในตำบลอุรุเวลา [6819-6t]
55:54||Season 68, Ep. 19จตุกกนิบาต อุรุเวลวรรค หมวดว่าด้วยพุทธกิจในตำบลอุรุเวลาข้อที่ #21_ปฐมอุรุเวลสูตร ว่าด้วยพุทธกิจในตำบลอุรุเวลา สูตรที่ ๑ เป็นการรำพึงของพระพุทธเจ้าหลังตรัสรู้ว่า ควรเคารพยำเกรงในสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดหรือไม่ เพราะผู้ไม่เคารพไม่ยำเกรงสิ่งใดย่อมเป็นทุกข์ เมื่อใคร่ครวญแล้วไม่พบว่าสมณะใดมีความบริบูรณ์เท่า (ความบริบูรณ์ 4 อย่าง คือ ความบริบูรณ์แห่งสีลขันธ์, สมาธิขันธ์, ปัญญาขันธ์, วิมุตติขันธ์) จึงดำริที่จะเคารพในธรรมที่ตรัสรู้และเคารพในสงฆ์ที่มีคุณอันใหญ่ด้วย (หมู่พระอริยบุคคล) ท้าวสหมบดีพรหมที่คนยกย่องว่าเป็นผู้สร้างก็ยังเคารพธรรมนั้น*ในข้อนี้จะเห็นว่า การเอาเป็นที่เคารพนั้นมีความต่างกับการยึดติดยึดถือ เพราะถ้ายึดถือ ทุกข์จะอยู่ตรงนั้น ทำให้เสียหลักได้ข้อที่ #22_ทุติยอุรุเวลสูตร ว่าด้วยพุทธกิจในตำบลอุรุเวลา สูตรที่ ๒ พราหมณ์ได้มารุกรานถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ทำไมพระองค์จึงไม่ลุกขึ้นไหว้ ต้อนรับ เชื้อเชิญพราหมณ์ผู้เป็นผู้ใหญ่” เพราะด้วยความไม่รู้ความเป็นเถระของพราหมณ์ พระพุทธเจ้าตอบพราหมณ์ว่า อย่างไรจึงเรียกว่าเถระ เถระไม่ได้ดูจากอายุเท่านั้น ธรรมที่ทำให้ชื่อว่าเถระมาจาก การมีศีล เป็นพหูสูตร ได้ฌานทั้ง 4 และเป็นอรหันต์*ตรงนี้ทำให้พุทธองค์เห็นว่า ธรรมนี้ยากที่สัตว์โลกจะรู้ตาม จึงขวนขวายน้อย ท้าวสหมบดีพรหมจึงมากล่าวอาราธนาให้แสดงธรรมข้อที่ #23_โลกสูตร ว่าด้วยโลก 4 นัยยะแห่งการเรียกว่า “ตถาคต” คือ 1. รอบรู้เรื่องโลก (ทุกข์) ในนัยยะของอริยสัจ 4 (กิจในอริยสัจ) 2. คำสอนตั้งแต่ตรัสรู้จนปรินิพพานล้วนลงกัน 3. กล่าวอย่างไรทำอย่างนั้น ทำอย่างไรกล่าวอย่างนั้น 4. เป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีใครข่มเหงได้ในโลกข้อที่ #24_กาฬการามสูตร ว่าด้วยพุทธกิจในกาฬการาม ความเป็นผู้คงที่ (ไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรม 8 ) ของพระพุทธเจ้านั้นปราณีตมาก ความไม่สำคัญ คือ ไม่สำคัญว่าได้... ว่าไม่ได้... ว่าต้องได้...ว่าเป็นผู้ได้... ไปใน 4 สถานะ (อายตนะภายนอก 6 ) เท่ากับไม่สะดุ้งสะเทือนไปตามสิ่งที่รู้ คือ สักแต่ว่ารู้ จึงเหนือโลกข้อที่ #25_พรหมจริยสูตร ว่าด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ จะเห็นถึงคำสอนนี้เป็นไปเพื่อสำรวมระวัง เพื่อละ เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะ หรือลวงคน สามารถยืนยันได้ว่า สิ่งนี้มีในเรา สิ่งนี้ไม่มีในเราได้ เป็นความมั่นใจพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต อุรุเวลวรรค18. สตรีผู้เป็นบัณฑิต [6818-6t]
58:14||Season 68, Ep. 18หญิงมาตุคาม (สตรี) ผู้อยู่ครองเรือน ที่ประกอบด้วยธรรม 8 ประการนี้ ย่อมหวังสุขได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ในข้อที่ 46-48 เป็นการปรารภถึง “เหล่าเทวดามนาปกายิกา” (เทวดาชั้นนิมมานรดี) ซึ่งเนรมิตกายได้ตามปรารถนา และมีเสียงดนตรีอันไพเราะที่เกิดจากการกระทบกันของเครื่องประดับ ซึ่งในแต่ละพระสูตรกล่าวถึงสถานที่และบุคคลที่แตกต่างกันออกไป โดยได้ยกถึงธรรม 8 ประการที่เป็นเหตุให้มาตุคามได้ความเป็นเทวดามนาปกายิกา ได้แก่ตื่นก่อนนอนทีหลัง ปฏิบัติรับใช้ให้เป็นที่พอใจ พูดคำไพเราะต่อสามีบูชา นับถือ เคารพ บุคคลที่สามีเคารพบูชาขยันไม่เกียจคร้าน จัดการดูแลการงานในบ้านให้เรียบร้อย (แม่เจ้าเรือน)รู้จักดูแลคนงานในบ้าน รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ ไม่เล่นพนัน ไม่เป็นโขมย ไม่ล้างผลาญทรัพย์มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ (ที่ระลึกถึง)มีศีลห้าเป็นปกติมีใจปราศจากความตระหนี่ (จาคะ)ข้อที่ #46_อนุรุทธสูตร ว่าด้วยพระอนุรุทธะ ที่โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี พระอนุรุทธะออกจากหลีกเร้น ได้เข้าไปกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคถึงธรรมที่ทำให้มาตุคามได้ไปเกิดเป็นเทวดามนาปกายิกา โดยได้ปรารภถึงเหล่าเทวดามนาปกายิกาที่ได้มาปรากฏตัวต่อพระอนุรุทธะ และได้แสดงความมีอำนาจในการเนรมิตกาย (วรรณะ) เสียง และความสุข ได้ตามความปรารถนา โดยพระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรม 8 ประการที่มาตุคามปฏิบัติจะได้เข้าร่วมความเป็นเทวดามนาปกายิกาข้อที่ #47_ทุติยวิสาขาสูตร ว่าด้วยนางวิสาขา สูตรที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้ตรัสแสดงธรรม 8 ประการนี้แก่ นางวิสาขามิคารมาตา ในบุพพาราม เขตกรุงสาวัตถีข้อที่ #48_นกุลมาตาสูตร ว่าด้วยนกุลมาตาคหปตานี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้ตรัสแสดงธรรม 8 ประการนี้แก่ นกุลมาตาคหปตานี ณ เภสกฬามิคทายวัน เขตกรุงสุงสุมารคิระ ในข้อที่ #49_ปฐมอิธโลกิกสูตร และ #50_ทุติยอิธโลกิกสูตร ว่าด้วยธรรมที่เป็นไปเพื่อชัยชนะในโลกนี้ สูตรที่ ๑-๒ ได้กล่าวถึงธรรมที่ให้สุขปัจจุบันและในโลกหน้าของหญิงมาตุคาม โดยแยกแสดง 4 ประการแรกที่ให้ผลในปัจุบัน ได้แก่จัดการงานดีสงเคราะห์คนข้างเคียง ปฏิบัติถูกใจสามีรักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้และธรรม 4 ประการหลังที่มีผลในโลกหน้า คือถึงพร้อมด้วยศรัทธาถึงพร้อมด้วยศีล ถึงพร้อมด้วยจาคะถึงพร้อมด้วยปัญญาพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต อุโปสถวรรค17. อคติ - ความลำเอียง [6817-6t]
54:56||Season 68, Ep. 17ข้อที่ #15_ปัญญัตติสูตร ว่าด้วยการบัญญัติสิ่งที่เลิศ เป็นการบัญญัติ 4 สิ่งที่มีความเป็นเลิศในส่วนของตน นั่นคือพระราหูผู้มีอัตภาพใหญ่สุดในบรรดาสัตว์ พระเจ้ามันธาตุเลิศที่สุดในผู้เสพกาม เพราะสามารถเสพกามที่เป็นทั้งของมนุษย์และสวรรค์ ทั้งยังไม่มีความอิ่มในกามนั้น มารบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้ครองโลก เพราะควบคุมผู้อื่นไว้ด้วยกาม และพระพุทธเจ้าผู้เป็นเลิศในโลก เพราะอยู่เหนือกิเลสได้ข้อที่ #16_โสขุมมสูตร ว่าด้วยโสขุมมญาณ กล่าวถึงความละเอียดประณีต ความเชี่ยวชาญในญาณแต่ละขั้น ไล่ไปตั้งแต่รูปภพที่มีกาม อรูปภพที่มีเวทนาและสัญญา และที่ยิ่งขึ้นไปอีกคือแม้แต่สัญญาเวทนาก็ดับไป ยังคงมีแต่สังขาร นั่นคือสมาธิขั้นสูงสุดนั่นเอง เราจะสามารถพัฒนาให้มีญาณที่ละเอียดลงไปได้ก็ด้วยการเห็นความไม่เที่ยง ความจางคลายความดับไปของสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสุขนั้น ถ้าเห็นโทษก็จะข้ามพ้นไปได้ ความละเอียดก็จะมากขึ้นข้อที่ #17-20 ปฐม / ทุติย / ตติยอคติสูตร และภัตตุทเทสกสูตร โดยในแต่ละพระสูตรนั้นว่าด้วยเรื่องของ “อคติ 4” คือ ความลำเอียง 4 ประการ กล่าวถึงบุคคลย่อมเข้าถึงอคติหรือไม่เข้าถึงอคติ อคติ 4 ประการ ได้แก่1. ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ)2. โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง)3. โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลง)4. ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว)“บุคคลใดละเมิดความชอบธรรม เพราะฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ ยศของบุคคลนั้นย่อมเสื่อม ดุจดวงจันทร์ข้างแรมฉะนั้นส่วนบุคคลใดไม่ละเมิดความชอบธรรม เพราะฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ ยศของบุคคลนั้นย่อมบริบูรณ์ ดุจดวงจันทร์ข้างขึ้นฉะนั้น” พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต จรวรรค15. บุคคลผู้มีศีล [6815-6t]
54:20||Season 68, Ep. 15ข้อที่ #11_จรสูตร ว่าด้วยอิริยาบถเดิน กล่าวถึงผู้ที่ปล่อยให้อกุศลวิตก 3 คือ ความคิดตริตรึกไปในทางกาม พยาบาท เบียดเบียน เกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในอิริยาบถ 4 คือ เดิน ยืน นั่ง หรือนอน (ตื่นอยู่) และไม่พยายามละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้หมดสิ้นไป กล่าวได้ว่า “ผู้นั้นเป็นผู้เกียจคร้าน มีความเพียรย่อหย่อน” ส่วนผู้ใดพยายามละ บรรเทา ทำให้หมดสิ้นไป ผู้นั้นเป็น “ผู้ปรารภความเพียร” *ข้อสังเกต แม้มีอกุศลวิตกเกิดขึ้น แต่ไม่เพลิน ไม่ปล่อยใจให้ตกไปในอกุศล พยายามละ บรรเทาให้เบาบาง ถึงแม้ว่าจะทำอกุศลนั้นให้หมดสิ้นไปเลยยังไม่ได้ แต่ขึ้นชื่อว่า “เป็นผู้มีสติ ปรารภความเพียรอยู่” แม้ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดที่ไหนก็สามารถทำได้ข้อที่ #12_สีลสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีศีล กล่าวถึงบุคคลผู้มีสติสัมปชัญญะ สำรวมระวัง มีความเพียรในการรักษาศีลให้เต็มบริบูรณ์ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือนอน ก็ตาม สามารถที่จะทำจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เพราะศีลย่อมเป็นบาทฐานทำให้จิตเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิก็สามารถละนิวรณ์ 5 ได้ *ประเด็น ศีลบริบูรณ์ย่อมยังสมาธิให้บริบูรณ์ขึ้นมาได้ คือ สามารถทำสมาธิได้ในทุกอิริยาบถข้อที่ #13_ปธานสูตร ว่าด้วยสัมมัปปธาน “สัมมัปปธาน” คือ ความกล้าความเพียรที่ทำจริงแน่วแน่จริง แบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ส่วนที่เป็นกุศล ถ้ายังไม่มีควรทำให้มี ที่มีอยู่แล้วให้ทำให้เจริญ และฝ่ายอกุศลที่มีอยู่เดิมให้ละ ที่ยังไม่มีอย่าให้เข้ามาข้อที่ #14_สังวรสูตร ว่าด้วยสังวรปธาน เป็นพระสูตรที่มีความเกี่ยวเนื่องสอดคล้องกับปธานสูตร เพราะกล่าวถึงวิธีในการละ ป้องกัน รักษา และทำให้เจริญ ไว้ดังนี้สังวรปธาน คือ การสำรวมอินทรีย์ไม่ให้อกุศลใหม่เข้ามา ปหานปธาน คือ เพียรด้วยการละ ภาวนาปธาน คือ การพัฒนาโพชฌงค์ 7 อนุรักขนาปธาน คือ เพียรรักษาสมาธินิมิตในการเห็นอสุภสัญญา เห็นอสุภแล้วยังรักษาสมาธิได้ นั่นคือรักษาได้พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต จรวรรค14. ห้วงแห่งบุญกุศล [6814-6t]
57:18||Season 68, Ep. 14ข้อที่ #38_ สัปปุริสสูตร ว่าด้วยคุณประโยชน์ของสัตบุรุษ สัตบุรุษ (คนดี) ย่อมเกิดมาเพี่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่คนหมู่มาก กล่าวคือเพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่มารดาบิดา บุตรภรรยา ทาส กรรมกร คนใช้ มิตรและอำมาตย์ (เพื่อนสนิท) ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว พระราชา เหล่าเทวดา และสมณพราหมณ์ข้อที่ #39_อภิสันทสูตร ว่าด้วยห้วงบุญกุศล "ห้วงบุญกุศล" ในที่นี้หมายถึงผลแห่งบุญกุศลซึ่งหลั่งไหลนำความสุขมาสู่ผู้บำเพ็ญอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล มีผัสสะใดมากระทบก็อารมณ์ดีได้เพราะจิตอยู่ในห้วงของบุญ เป็นลักษณะอารมณ์ของฌาน 2 (ปิติสุข) ห้วงบุญกุศล 8 ประการนี้ ได้แก่อะไรบ้าง คือ เป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะและเป็นผู้มีมหาทาน (คือ มีศีล 5) ข้อที่ #40_ทุจจริตวิปากสูตร ว่าด้วยวิบากแห่งทุจริต ผลแห่งการกระทำที่ไม่ดี ทุจริต 8 ประการนี้ ย่อมมีผลทำให้เกิดในนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรตวิสัย และส่งผลวิบากอย่างเบาซึ่งได้แก่ ผลจากการฆ่าสัตว์ - ทำให้เป็นผู้มีอายุน้อย, การลักทรัพย์ - ทำให้เป็นผู้เสื่อมโภคทรัพย์, การประพฤติผิดในกาม - เป็นผู้มีศัตรูและเป็นผู้มีเวร, การพูดเท็จ - ถูกกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง, การพูดส่อเสียด - แตกจากมิตร, การพูดหยาบคาย - ให้ได้ฟังเรื่องที่ไม่น่าพอใจ, การพูดเพ้อเจ้อ - มีวาจาที่ไม่น่าเชื่อถือ, การดื่มสุราและเมรัย -ให้เป็นผู้วิกลจริตพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ทานวรรค13. บุคคลผู้ไปตามกระแส [6813-6t]
55:00||Season 68, Ep. 13ข้อที่ #5_อนุโสตสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ไปตามกระแส กล่าวถึงการไปตามกระแสของตัณหาหรือไม่ ของบุคคล 4 ประเภท คือ 1) ผู้ไปตามกระแส คือ ไปตามกามจนถึงทำบาปกรรม 2) ผู้ทวนกระแส คือบวชแล้ว และใช้ความพยายามอย่างมาก ในการหลีกออกจากกาม 3) ผู้มีภาวะตั้งมั่น หมายถึงอนาคามี และ 4๗ ผู้ข้ามพ้นฝั่ง คืออรหันต์ ข้อที่ #6_อัปปัสสุตสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้มีสุตะน้อย เอาคำว่ามีสุตะมากหรือน้อยกับการเข้าถึงหรือไม่เข้าถึงสุตะ ต่อให้คุณมีสุตะน้อย แต่ถ้ามีการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นั่นคือการเข้าถึงสุตะที่แท้จริง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สามารถพัฒนาให้มีเพิ่มคู่กันไปได้ ข้อที่ #7_โสภณสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ทำหมู่ให้งาม พูดถึงพุทธบริษัท 4 แต่ละประเภทที่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถทำหมู่ให้งามได้ด้วยคุณธรรม ความเป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับคำแนะนำดี แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมข้อที่ #8_เวสารัชชสูตร ว่าด้วยญาณเป็นเหตุให้แกล้วกล้า คือ ญาณอันเป็นเหตุให้แกล้วกล้าของพระพุทธเจ้า คือความมั่นใจว่าศัตรูหมดไปแล้วจริง ๆ ญาณเหล่านี้เราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้ เพราะเมื่อมีแล้วจะไม่มีความประหม่าเกรงกลัวใด ๆ ข้อที่ #9_ตัณหุปปาทสูตร ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งตัณหา ตัณหาเมื่อจะเกิดย่อมเกิดเพราะปัจจัย 4 เป็นเหตุข้อที่ #10_โยคสูตร ว่าด้วยโยคะ คือ กิเลสที่ผูกมัดไว้ในภพ ได้แก่ กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะ อวิชชาโยคะ การพรากจากโยคะจะเกิดได้ ก็ด้วยการปฏิบัติตามมรรค 8 พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ภัณฑคามวรรค12. บุญกิริยาวัตถุ [6812-6t]
58:15||Season 68, Ep. 12ข้อที่ #35_ทานูปปัตติสูตร ว่าด้วยผลที่เกิดจากการให้ทาน บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานเพราะหวังสิ่งตอบแทน คือหวังการไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้เอิบอิ่มพรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณ 5 หวังการไปเกิดเป็นเทวดาในชั้นต่าง ๆ ทั้ง 6 ชั้น และหวังการไปเกิดเป็นพรหมในชั้นพรหมกายิกา แล้วด้วยเขาเหล่านั้นเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ จึงได้ตามที่ปรารถนาไว้ แต่ความปรารถนานั้นยังเป็นไปในทางต่ำ กล่าวคือมีความพอใจ มีความข้องอยู่ในภพนั้น จึงไม่อาจเห็นสิ่งที่จะเจริญกว่าหรือพัฒนาให้เจริญยิ่งขึ้นไปได้ *ข้อสังเกต ผู้ที่หวังไปเกิดในชั้นพรหมกายิกา คือนอกจากจะเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์แล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่ปราศจากราคะด้วย ในที่นี้ราคะถูกข่มไว้ด้วยอำนาจของฌาน (สมถะ) มิใช่ด้วยปัญญาข้อที่ #36_ปุญญกิริยาวัตถุสูตร ว่าด้วยบุญกิริยาวัตถุ คือการบำเพ็ญบุญอันเป็นเหตุให้เกิดอานิสงส์ แบ่งเป็น 3 ประการ คือ บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทาน ศีล และภาวนา แล้วนำมาอธิบายได้ 8 นัยยะ โดยทั้ง 8 นัยยะนั้นไม่มีบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จได้ด้วยการภาวนาเลย โดยนัยยะแรกบุญที่เกิดจากทำทานและมีศีลนิดหน่อย ทำให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้โชคร้ายไม่มีอันจะกิน และนัยยะที่ 2 บุญที่สำเร็จได้ด้วยทานและศีลพอประมาณ ทำให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้โชคดี และนัยยะที่ 3-8 บุญที่สำเร็จได้ด้วยทานและศีลอันยิ่ง ทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นและได้ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยฐานะ 10 ประการในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ**ข้อสังเกต การภาวนา คือการพัฒนาหรือการทำให้เจริญ เราสามารถทำทานของเราให้มีอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยการให้ทานเพราะเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต ให้จิตเกิดความนุ่มนวลอ่อนเหมาะในการเจริญสมถะและวิปัสสนาเพื่อให้เข้าถึงปัญญาอันสูงสุดข้อที่ #37_สัปปุริสทานสูตร ว่าด้วยสัปปุริสทาน คือทานของสัตบุรุษ มีลักษณะ 8 ประการด้วยกันให้ของสะอาดให้ของประณีตให้เหมาะกาล ให้ถูกเวลาให้ของสมควร ให้ของที่ควรแก่เขา ซึ่งเขาจะใช้ได้พิจารณาเลือกให้ ให้ด้วยวิจารณญาณ เลือกของ เลือกคนที่จะให้ ให้เกิดผลเกิดประโยชน์มากให้เนืองนิตย์ ให้ประจำ หรือสม่ำเสมอเมื่อให้ ทำจิตผ่องใสให้แล้วเบิกบานใจพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ทานวรรค11. การตรัสรู้ธรรมเป็นเหตุสิ้นภพ [6811-6t]
55:14||Season 68, Ep. 11จตุกกนิบาต ภัณฑคามวรรค หมวดธรรม 4 ประการ ว่าด้วยพุทธกิจในภัณฑคาม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านภัณฑคาม แคว้นวัชชีอนุพุทธสูตร ว่าด้วยการตรัสรู้ธรรมเป็นเหตุสิ้นภพ ของพระพุทธเจ้าและอนุพุทธะ เพราะการไม่รู้ซึ่งศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุต จึงทำให้ต้องเร่ร่อนท่องเที่ยวไป เกิดแล้วเกิดอีก เจอทุกข์แล้วเจอทุกข์อีก วนไป จะไม่เกิดก็ด้วยการรู้ธรรมทั้ง 4 ประการนี้ ปปติตสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ที่ตกหล่นจากธรรมวินัย ก็คือผู้ที่ออกนอกอริยมรรคและวิมุต วิมุตในที่นี้หมายถึงผล นั่นเอง การดับทุกข์ได้เป็นข้อ ๆ เพราะความสมบรูณ์ในข้อนั้น ๆ แล้วค่อยพัฒนาไปตามลำดับ จะเจอแบบทดสอบที่ต่างกันไปในแต่ละข้อ ปฐมขตสูตรและทุติยขตสูตร ว่าด้วยเหตุให้ตนถูกกำจัด หัวข้อมีความเหมือนกันแต่ต่างกันในรายละเอียด ในปฐมขตสูตร คือ การไม่พิจารณาไม่ไตร่ตรอง ไม่เลื่อมใส หรือเลื่อมใสในบุคคลให้ถูกต้อง เป็นเหตุให้ประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญ ผู้รู้ติเตียน ส่วนในทุติยขตสูตรเหตุที่จะทำให้ตนถูกกำจัด คือ การปฏิบัติผิดในมารดา บิดา ตถาคต และสาวกของตถาคตพระไตรปิฎกเล่มที่ 21 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 13 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ภัณฑคามวรรค