Share

cover art for เบญจศีลและเบญจธรรม [6737-3d]

3 ใต้ร่มโพธิบท

เบญจศีลและเบญจธรรม [6737-3d]

Season 67, Ep. 37

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง หลักคำสอนและวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ สรุปเป็นใจความสำคัญว่าไว้ 3 ขั้น คือ ให้ละเว้นความชั่ว ให้ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นี่คือเส้นทางที่จะนำไปสู่ทางหลุดพ้นได้ ซึ่งในครั้งนี้จะกล่าวถึงหลักธรรมที่เป็นขั้นของการชี้แนวทางแห่งโลกุตระ นั่นคือเบญจศีลและเบญจธรรม


เบญจศีลและเบญจธรรม เป็นธรรมคู่กัน คนที่มีเบญจธรรมจึงจะเป็นผู้มีเบญจศีล ซึ่งหากคนมีศีลและธรรมดังกล่าวแล้ว จะเว้นจากการทำความชั่ว รู้จักควบคุมตนให้ตั้งอยู่ในความดี ไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น และประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ 


เบญจศีล คือ ศีล 5 ข้อ เป็นการรักษาเจตนาที่จะควบคุมกายและวาจาให้เป็นปกติ คือ ไม่ทำบาป โดยการละเว้น 5 ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักขโมย ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ละเว้นจากการพูดปด ละเว้นจากการเสพสุรา


เบญจธรรม เป็นหลักธรรมที่ควรปฏิบัติ มี 5 ประการ ได้แก่

  1. เมตตากรุณา คือ บุคคลใดที่มีเมตตาย่อมไม่ฆ่า หรือเบียดเบียนสัตว์ เมตตากรุณาจึงเป็นจิตที่สามารถเพิ่มพูนพัฒนาได้จากการเว้นจากการฆ่า 
  2. สัมมาอาชีวะ คือ ประกอบอาชีพที่สุจริต มีรายได้ รู้จักใช้จ่าย และที่สำคัญรู้จักคำว่าพอดี และมีหิริโอตตัปปะ คือ ความละอาย และเกรงกลัวต่อผลของบาป จึงทำให้ไม่ลักขโมยของผู้อื่น
  3. กามสังวร คือ ความสำรวมอินทรีย์ ระมัดระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ทำให้ ความใคร่ในกามคุณ คือ การติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลดน้อยลง เมื่อความสำรวมเกิดขึ้น จึงทำให้ไม่ประพฤติผิดในกาม
  4. สัจจะ คือ การพูดความจริง เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่เกิดการมุสาวาท 
  5. สติสัมปชัญญะ คือ การรู้สึกตัว การไม่ประมาท เพราะรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ทำให้ไม่เกลือกกลั้วกับสิ่งที่จะทำให้ชีวิตตกต่ำ เช่น สุราที่เมื่อคนดื่มกินก็ทำให้มึนเมาและขาดสติ 

More episodes

View all episodes

  • 49. กามโภคีบุคคล: บุคคลผู้บริโภคกาม [6849-3d]

    58:04||Season 68, Ep. 49
    กามโภคีบุคคล:บุคคลผู้บริโภคกามเป็นผู้ที่ยังอยู่ในกระแสโลก และเป็นผู้ที่ถูกแบบคั้นด้วยกามเสมอ ในการกล่าวถึงเรื่องของทางโลกนั้นก็ใช้คำว่ากามมาอธิบายเป็นหลักโดยในที่นี้จะกล่าวถึง กาม 2 อย่าง กาม 5 อย่าง และกามโภคีบุคคล 10 อย่างกาม 2 อย่าง คือ กิเลสกามและวัตถุกาม และกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกามโภคี 10 แบ่งกลุ่มตามการแสวงหา ดังนี้ 1.    กลุ่มแสวงหาโดยไม่ชอบธรรม (ประเภทที่ 1-3) และ กลุ่มที่แสวงหาโดยชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง (ประเภทที่ 4-6): คือผู้ที่ได้ทรัพย์มาผิดวิธี หรือถูกบ้างผิดบ้าง โดยแบ่งย่อยตามการใช้จ่ายว่าเลี้ยงตนให้เป็นสุขหรือไม่ และมีการแบ่งปันทำความดีหรือไม่ 2.     กลุ่มแสวงหาโดยชอบธรรม (ประเภทที่ 7-10): คือผู้ที่ได้ทรัพย์มาถูกวิธีประเภทที่ 7-8: ไม่แบ่งปันทำความดี (ต่างกันที่การเลี้ยงดูตนเอง)                  ประเภทที่ 9: เลี้ยงตนเป็นสุขและแบ่งปัน แต่ยังขาดสติปัญญา ยังหลงมัวเมาติดในทรัพย์              ประเภทที่ 10 (ผู้ประเสริฐที่สุด): คือผู้ที่แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม นำมาเลี้ยงตนให้เป็นสุข เผื่อแผ่แบ่งปันทำความดี และที่สำคัญคือ ไม่ลุ่มหลงมัวเมา มีสติปัญญารู้เท่าทันเห็นทั้งคุณและโทษของวัตถุ ทำให้จิตใจเป็นอิสระอยู่เหนือโภคทรัพย์นั้นผู้บริโภคกามที่เลิศที่สุดคือผู้ที่หาทรัพย์ชอบธรรม ใช้จ่ายเพื่อตนและผู้อื่น และมีปัญญาเป็นนายเหนือวัตถุ
  • 48. ธรรมุทเทศ 4 [6848-3d]

    55:03||Season 68, Ep. 48
    ธรรมุทเทศ มาจากธรรมะ+อุเทศ อุเทศคือสิ่งที่ยกขึ้นแสดง รวมกันหมายถึง ธรรมที่แสดงไว้ คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ในตอนนี้เป็นเรื่องราวที่พระเจ้าโกรัพยะ ได้ตรัสถามกับท่านพระรัฐปาละถึงความเสื่อม 4 ประการที่เมื่อบุคคลบางพวกประสพแล้วจึงออกบวชคือความเสื่อมเพราะชราความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้ความเสื่อมจากโภคสมบัติความเสื่อมจากญาติ ส่วนพระรัฐปาละยังไม่ได้เผชิญกับความเสื่อมทั้ง 4 ประการนี้เลยท่านเห็นสิ่งใดจึงก็ออกบวช ท่านพระรัฐปาละจึงได้ยกถึงธรรมุทเทศ 4 ประการที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้มากล่าวดังนี้ธรรมุทเทศ 4 ประการ 1. โลกอันชรานำไปไม่ยั่งยืน: สัตว์โลกต้องแก่ชราไปตามกาลเวลา 2. โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน: สัตว์โลกไม่สามารถต้านทานความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ และไม่เป็นอิสระเฉพาะตน 3. โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป: ทรัพย์สินและทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ ตายแล้วก็ไปด้วยไม่ได้ 4. โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป้นทาสแห่งตัณหา:มนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด เป็นทาสของตัณหา  เมื่อผู้ใดเพ่งลงไปให้เห็นโทษภัยของความเสื่อมนั้น จะทำให้มองเห็นทางออกแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ของความเสื่อม 4 ประการนี้ได้
  • 47. โทษของความโกรธ [6847-3d]

    56:07||Season 68, Ep. 47
    ในมุมมองของคนที่มักโกรธ พอโกรธหรือไม่พอใจใครแล้ว ก็จะมองคน ๆ นั้นด้วยความเป็นศัตรูทันที คนมักโกรธจะมีความมุ่งหมายร้าย 7 ประการต่อศัตรู (เช่น ขอให้ผิวพรรณทราม, เป็นทุกข์, เสื่อมลาภยศ) แต่ผลร้ายเหล่านั้นกลับย้อนมาทำลายผู้โกรธเสียเอง ทำให้ชีวิตตกต่ำ จิตใจมืดบอดเหมือนไฟไหม้ และไม่เห็นธรรมพระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ถึงสาเหตุของความโกรธไว้ใน "มหานิทานสูตร" ว่าความโกรธมีรากฐานมาจาก "ตัณหา" หรือความยึดติด พอใจสิ่งใดก็เกิดความหวงกั้น เมื่อกระทบกระทั่งจึงพัฒนาจากความขัดเคือง (ปฏิฆะ) กลายเป็นความโกรธ (โกธะ) และลุกลามเป็นการประทุษร้าย (โทสะ)แนวทางแก้ไขคือการเจริญเมตตาภาวนาและดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการไม่โกรธตอบ แม้จะมีเหตุผลให้โกรธเพียงใดก็ตาม เพื่อตัดวงจรการจองเวรที่จะเกิดขึ้นจากความโกรธนั้น
  • 46. การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ [6846-3d]

    52:40||Season 68, Ep. 46
    "ธรรมเทศนา" คือการแสดงธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่ออธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงกล่าวไว้กับพระมหากัสสปะว่า การแสดงธรรมมีทั้งแบบบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์·      การแสดงธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ คือการแสดงโดยมีเจตนาหวังลาภ สักการะ หรือคำสรรเสริญ ซึ่งจะนำไปสู่สัทธรรมปฏิรูป (การเลียนแบบธรรมะ)·      การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ ต้องอาศัย 5 ประการ คือ 1. มีเจตนาให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาและปัญญา 2. อาศัยธรรมะเป็นธรรมอันดี 3. อาศัยความกรุณา 4. อาศัยความเอ็นดู และ 5. อาศัยความอนุเคราะห์การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ แบ่งเป็นกลุ่มได้ 3 กลุ่ม·     ผู้ฟังปฏิบัติได้ แล้วเกิดผลจริง·     ธรรมะที่แสดงดีมีประโยชน์มาก·     จิตใจของผู้แสดงธรรมประกอบด้วยพรหมวิหาร 4         การจะพิจารณาว่าผู้แสดงธรรมบริสุทธิ์หรือไม่ ให้ดูที่การเป็นอยู่ การพูดจา ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิจารณา           ปัจจัยที่จะทำให้พระสัทธรรมยั่งยืนคือการที่พุทธบริษัท 4 มีความเคารพในพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ ในสิกขา สมาธิ และเคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงการเล่าเรียนให้ถูกต้อง
  • 45. ธรรมเพื่อการพัฒนาตนเอง [6845-3d]

    56:23||Season 68, Ep. 45
    “ภาวนา” คือ การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นทุกด้าน มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าและเจริญงอกงามอยู่เสมอ ในตอนนี้จะกล่าวถึงธรรมะ 3 หมวดที่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาตนเอง ได้แก่1.วุฑฒิธรรม 4 (ธรรมเป็นเครื่องเจริญแห่งปัญญา) : ประกอบด้วย การคบหาสัตบุรุษ (สัปปุริสังเสวะ) , การเอาใจใส่เล่าเรียนฟังธรรม (สัทธัมมัสสวนะ) , การคิดวิเคราะห์อย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) , และการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (ธัมมานุธัมมปฏิบัติ)2.วัฒนมุข 6 (ประตู 6 ประการสู่ความเจริญงอกงามของชีวิต) : ประกอบด้วย ความไม่มีโรค (อาโรคยะ) , ความมีระเบียบวินัย (ศีล) , การศึกษาแนวทางจากบัณฑิต (พุทธานุมัต) , การใฝ่ฟังศึกษาหาความรู้ (สุตะ) , การดำเนินชีวิตในทางที่ชอบธรรม (ธรรมานุวัติ) , และความเพียรพยายามไม่ย่อหย่อน (อลีนตา)3.อธิษฐานธรรม 4 (ธรรมที่เป็นฐานที่มั่นคงเพื่อความสำเร็จ) : ประกอบด้วย ปัญญา (การหยั่งรู้เหตุผล) , สัจจะ (การพูดจริงทำจริง) , จาคะ (การสละสิ่งไม่ดีออกไป) , และอุปสมะ (ความสงบ)ธรรม 3 หมวดนี้เป็นธรรมที่เป็นไปในแนวเดียวกัน ที่เมื่อได้นำไปประพฤติปฏิบัติแล้วก็จะเกิดการพัฒนา ก้าวหน้า และนำไปสู่ความเจริญงอกงามในชีวิตได้
  • 44. อินทรีย์ : ความเป็นใหญ่ [6844-3d]

    58:34||Season 68, Ep. 44
    อินทรีย์ หมายถึง ความเป็นใหญ่มีการใช้อยู่ในหลายๆนัยยะ ที่จะนำมากล่าวในที่นี้มี 22 ข้อ ตามที่รวบรวมไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งรวบรวมตามพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ ได้แก่อินทรีย์ 6: คืออายตนะหรือประสาทสัมผัสทั้ง 6 (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) ซึ่งแต่ละอย่างมีความเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน (เช่น หูเป็นใหญ่ในการได้ยินเสียง)อินทรีย์ 3 (นัยยะที่ 1): เกี่ยวข้องกับภาวะเพศและการเวียนว่ายตายเกิด ได้แก่ ปุริสินทรีย์ (ภาวะชาย), อิตถินทรีย์ (ภาวะหญิง), และ ชีวิตินทรีย์ (ภาวะชีวิต)อินทรีย์ 3 (นัยยะที่ 2): เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ (โลกุตตระ) ได้แก่1.อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ คืออินทรีย์ของผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าจะรู้สัจธรรม2.อัญญินทรีย์ คือ ปัญญาอันรู้ทั่วถึง3.อัญญาตาวินทรีย์ คือปัญญาอันรู้ทั่วถึงแล้วอินทรีย์ 5 (นัยยะที่ 1) ได้แก่ ความสุขกาย ความทุกข์กาย ความสุขใจ ความทุกข์ใจ อุเบกขาอินทรีย์ 5 (นัยยะที่ 2) เป็นนัยยะที่เราสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมที่เหมือนกันโดยองค์ธรรมกับพละ5พละ 5 ได้แก่ 1)ศรัทธา คือ ความมั่นใจ 2)วิริยะ คือ ความเพียร 3)สติ คือ ความระลึกได้ 4)สมาธิ คือ จิตเป็นอารมณ์อันเดียว 5)ปัญญา คือ ความเห็นตามความเป็นจริง
  • 43. อปริหานิยธรรม : ธรรมะอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม [6843-3d]

    58:34||Season 68, Ep. 43
    "อปริหานิยธรรม" คือ ธรรมะอันเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เสื่อม ซึ่งจะนำมาซึ่งความเจริญเพียงฝ่ายเดียว หลักธรรมนี้มีหลายนัยยะนัยยะแรกมี 7 ประการ ได้แก่ 1) หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ 2) พร้อมเพรียงกันประชุม 3) ไม่ล้มล้างสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ  4) เคารพภิกษุผู้ใหญ่ 5) ไม่ตกอยู่ในอำนาจตัณหา 6) ยินดีในเสนาสนะป่า 7) ตั้งสติระลึกถึงเพื่อนพรหมจารีนัยยะอื่น ๆ ที่นำไปสู่ความเจริญและป้องกันความเสื่อม ได้แก่·      คุณธรรมในตน 7 ประการ: เช่น ไม่ยินดีการคุย, ไม่ปรารถนาลามก, ไม่คบมิตรชั่ว·      อริยทรัพย์ 7: เช่น ศรัทธา, หิริ, โอตตัปปะ, สติ, ปัญญา·      โพชฌงค์ 7: เช่น สติ, วิริยะ, สมาธิ, อุเบกขา·      สัญญา 7: เช่น อนิจจสัญญา, อนัตตสัญญา, อสุภสัญญา·      สาราณียธรรม 6หากรักษาธรรมเหล่านี้ไว้ได้ ความเสื่อมจะไม่ปรากฏขึ้นเลย แต่จะมีความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น
  • 42. ธรรมเป็นเครื่องบ่มวิมุตติ [6842-3d]

    56:08||Season 68, Ep. 42
    ธรรมเป็นเครื่องบ่มวิมุตติคือธรรมที่บ่มให้จิตหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ทั้งปวง เป็นธรรมะที่กล่าวไว้ในส่วนของอถกถา ประกอบด้วยธรรม 5 หมวด หมวดละ 3 อย่าง รวมเป็น 15 อย่าง ได้แก่นัยยะแรกคือนัยยะของอินทรีย์ 5 ดังนี้ศรัทธา คือความเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้แก่ 1)ไม่เสพ คบ บุคคลผู้ไม่มีศรัทธา 2)ให้เสพ คบ บุคคลผู้มีศรัทธา 3)พิจารณาตามนัยยะสัมปสาทนียสูตรวิริยะ คือความเพียรในการละความชั่วและทำความดีได้แก่ 1)ไม่เสพคบบุคคลผู้เกียจคร้าน 2)เสพคบเข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีความเพียร 3)พิจารณาตามสัมมัปปธานสูตรสติ คือความระลึกรู้เท่าทันกายและใจได้แก่ 1)ไม่คบบุคคลผู้มีสติหลงลืม 2)ให้คบเข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีสติตั้งมั่น 3)พิจารณาสติปัฎฐาน4สมาธิ คือความมีจิตตั้งมั่นได้แก่ 1)ไม่คลุกคลีกับบุคคลผู้มีใจไม่มั่นคง 2)ให้คบหา นั่งใกล้กับบุคคลที่มีใจมั่นคง 3)พิจารณาฌานและวิโมกข์อยู่เป็นประจำปัญญา คือความรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาพความเป็นจริง โดยเฉพาะความเกิด-ดับ เพื่อชำระล้างกิเลสได้แก่ 1)เว้นการคบหากับผู้มีปัญญาทราม 2)ให้คบกับผู้มีปัญญา มีแนวโน้มที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆได้ 3)พิจารณาญาณจริยาการบำเพ็ญญาณอันลึกซึ้งและยังมีธรรมเป็นเครื่องบ่มวิมุตตินัยยะที่ 2 คือสัญญา 5 ได้แก่ อนิจจสัญญา อนิจเจทุกขสัญญา ทุกเขอนัตตสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา และนัยยะที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ กับ พระเมฆิยะคือ การมีมิตรดี ความสำรวมในศีล ความเป็นผู้ขัดเกลาอย่างยิ่ง ความปรารภความเพียร และปัญญาอันเป็นไปในส่วนแห่งการตรัสรู้
  • 41. นาถกรณธรรม 10 [6841-3d]

    57:18||Season 68, Ep. 41
    พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงการ พึ่งตน พึ่งธรรม ซึ่งหมายถึงการพึ่งพาธรรมะของพระองค์ ธรรมะที่เป็นที่พึ่ง หรือคุณธรรมที่ทำให้ตนเป็นที่พึ่งของตนได้ เรียกว่า นาถกรณธรรม 10 ประการ ดังนี้1. ศีล: ความประพฤติดีงามสุจริต มีระเบียบวินัย2. พาหุสัจจะ (พหูสูต): ศึกษาเล่าเรียนมาก มีความรู้ลึกซึ้งในธรรม3. กัลยาณมิตตตา: มีมิตรที่ดี หรือให้ มรรค 8 เป็นกัลยาณมิตร4. โสวจัสสตา: เป็นผู้ว่าง่าย สอนง่าย รับฟังเหตุผล5. กิงกรณีเยสุ ทักขตา: ไม่เกียจคร้าน เอาใจใส่ในกิจและจัดการให้สำเร็จเรียบร้อย6. ธัมมกามตา: ใคร่ธรรม รักความรู้ ชอบศึกษาหลักธรรมวินัย7. วิริยารัมภะ: ปรารภความเพียร ละชั่ว ทำดี ไม่ทอดทิ้งธุระ8. สันตุฏฐี (สันโดษ): ยินดีพอใจในปัจจัย 4 ที่หามาได้โดยชอบธรรม9. สติ: ระลึกได้ ไม่เผลอ ไม่ประมาทไปตามผัสสะที่เข้ามากระทบ10. ปัญญา: มีปัญญาหยั่งรู้เหตุผล กำจัดกิเลส และเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง