Share

cover art for การบูชายัญ [6750-3d]

3 ใต้ร่มโพธิบท

การบูชายัญ [6750-3d]

Season 67, Ep. 50

การบูชา ที่มีสิ่งของประกอบในการบูชานั้น เรียกว่าอามิสบูชา และถ้าเจาะจงว่ามีผู้รับสิ่งของที่ให้นั้นจะเรียกว่า “ทาน” คือการให้ แต่ถ้าตั้งไว้เฉยๆโดยไม่มีผู้รับชัดเจน แต่หวังว่าจะมีผู้รับเรียกว่า “ยัญ” ในที่นี้จะกล่าวถึง การบูชายัญ โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ใน กูฏทันตสูตร เป็นการกล่าวถึงการบูชายัญที่ถูกต้องไว้กับกูฏทันตพราหมณ์

ลักษณะยัญที่มีองค์ประกอบ 33 อย่างซึ่งเมื่อบูชาแล้วมีผลมาก แบ่งเป็นหมวดๆดังนี้

4 อย่างแรก คือ ได้ฉันทานุมัติ จากคนทั้งประเทศ ได้แก่ 1.เจ้าผู้ครองเมืองต่างๆ 2.อำมาตย์ราชบริพารผู้ใหญ่ 3.พราหมณ์มหาศาล 4.คหบดีผู้มั่งคั่ง

8 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้บูชา ได้แก่ 1.มีชาติตระกูลดี 2.มีรูปงดงาม 3.มีโภคทรัพย์สมบัติมาก 4.มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกร 5.มีความใจบุญมีเมตตา 6.มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ เพื่อรอบรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี 7.มีความเป็นนักปราชญ์บัณฑิตเต็มภาคภูมิ 8.มีวิสัยทัศน์

4 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้ให้คำแนะนำ ได้แก่ 1.มีชาติตระกูลดี 2.มีความรอบรู้ในสรรพวิชาความรู้ 3.มีศีล เพื่อความไว้วางใจว่าไม่เป็นผู้มีนอกมีใน 4.เป็นบัณฑิตมีปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหา อย่างน้อยเป็นลำดับที่ 2 ของปราชญ์ทั้งแผ่นดิน

3 อย่างคือ ต้องไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองของเครื่องบูชา ได้แก่ 1.ไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองก่อนการบูชา 2.ไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองระหว่างการบูชา 3.ไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองหลังการบูชา

10 อย่างคือ ลักษณะของผู้รับเอาเครื่องบูชา ได้แก่ 1.ทั้งพวกที่ฆ่าสัตว์ ทั้งพวกที่เว้นจากการฆ่าสัตว์ 2.ทั้งพวกที่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ 3.ทั้งพวกที่ประพฤติผิดในกาม ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม 4.ทั้งพวกที่กล่าวคำเท็จ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำเท็จ 5.ทั้งพวกที่กล่าวคำส่อเสียด ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำส่อเสียด 6.ทั้งพวกที่กล่าวคำหยาบ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำหยาบ 7.ทั้งพวกที่กล่าวคำเพ้อเจ้อ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำเพ้อเจ้อ 8.ทั้งพวกที่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา ทั้งพวกที่ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา 9.ทั้งพวกที่มีจิตพยาบาท ทั้งพวกที่ไม่มีจิตพยาบาท 10.ทั้งพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งพวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิ

4 อย่างคือ คุณสมบัติคนที่มาร่วมด้วย ได้แก่ 1.พวกเจ้าผู้ครองเมืองตั้งโรงทานในทิศตะวันออก 2.พวกอำมาตย์ตั้งโรงทานในทิศใต้ 3.พวกพราหมณ์มหาศาลตั้งโรงทานในทิศตะวันตก 4.พวกคหบดีตั้งโรงทานในทิศเหนือ

องค์ประกอบเหล่านี้เป็นการบูชายัญที่ให้ผลมาก มีการตระเตรียมมากและสิ้นเปลืองมาก

พระพุทธเจ้าทรงบอกแก่กูฏทันตพราหมณ์ว่ายังมีการบูชาที่สิ้นเปลืองน้อยแต่ได้อานิสงค์มาก ได้แก่ 1.การให้ทานเป็นประจำ(นิตยทาน) 2.วิหารทาน 3.การถึงไตรสรณคมน์ 4.การรักษาศีล 5.การทำสมาธิ

Time stamp 6750-3d:

(00:40) ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ

(06:49) กูฏทันตสูตร การบูชายัญ

(07:45) กูฏทันตสูตร การบูชายัญ

(37:28) ลักษณะยัญที่มีองค์ประกอบ 33 อย่าง

(37:43) 4 อย่าง คือ ได้ฉันทานุมัติ จากคนทั้งประเทศ

(37:47) 8 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้บูชา

(37:53) 4 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้ให้คำแนะนำ

(38:00) 3 อย่างคือ ความสิ้นเปลืองของเครื่องบูชา

(38:10) 10 อย่างคือ ลักษณะของผู้รับเอาเครื่องบูชา

(38:33) 4 อย่างคือ คุณสมบัติคนที่มาร่วมด้วย

(42:59) การบูชาที่สิ้นเปลืองน้อยและได้อานิสงค์มาก

More episodes

View all episodes

  • 51. ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ [6851-3d]

    53:38||Season 68, Ep. 51
    ธรรมของสัตบุรุษมี สัทธรรม 3 อย่างคือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธปริยัติ คือการศึกษาเล่าเรียนในระบบคำสอนที่เรารวบรวมมาโดยรอบแล้วนั่นคือคำสอนของพระศาสดามีองค์ 9 (นวังคสัตถุศาสน์)ได้แก่ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูติธรรม เวทัลละปริยัติแบ่งตามรูปแบบการศึกษาได้ 3 อย่างดังนี้1.อลคัททูปริยัติ การศึกษาแบบเป็นงูพิษคือศึกษาธรรมเพื่อลาภสักการะ เพื่อข่มผู้อื่น2.นิสสรณัตถปริยัติ การศึกษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการออกไปจากทุกข์ คือศึกษาเจาะจงลงไปในเรื่องที่จะออกจากทุกข์ได้3.ภัณฑาคาริกปริยัติ การศึกษาแบบขุนคลังคือการศึกษาเพื่อที่จะเก็บรักษาองค์ความรู้เหล่านั้นไม่ให้เสื่อมสูญไปปฏิบัติ คือ นำความรู้มาลงมือทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างที่ต้องการ การลงมือทำนั้นต้องไม่ยกตนข่มผู้อื่น การปฏิบัตินั้นมีได้หลายรูปแบบ การปฏิบัติต้องถูกต้องกับสิ่งนั้นๆปฏิเวธ คือการรู้ธรรมเป็นขั้นๆไป รู้ว่าธรรมนี้เป็นอย่างนี้ รู้แทงตลอดในธรรมเป็นขั้นเป็นขั้นขึ้นไป ในส่วนของปฏิเวธนี้ก็จะหมายถึงการบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งด้วย
  • 50. รู้ด้วยปัญญาญาณ [6850-3d]

    56:17||Season 68, Ep. 50
    “รู้แต่ไม่รู้ คนที่จะถึงจึงรู้" นำอุปมาอุปไมยมาอธิบายธรรมะ ทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยจัดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้- กลุ่มแรก นำอุปมา 5 นัยยะ คือ เมฆ หนู หม้อ ห้วงน้ำ และมะม่วง มาใช้อธิบายเพื่อความเข้าใจในองค์ธรรม 3 ส่วน แบ่งเป็น สังเกตจากภายนอก 2 ส่วน คือจากการเรียนหรือไม่เรียน เรียนสูงหรือไม่สูง เป็นการรู้จากความจำ และความน่าเลื่อมใสหรือไม่น่าเลื่อมใส นำมาเปรียบกับอุปมาข้างต้น เช่น เมฆมีเสียงหรือไม่มีเสียง หนูขุดรูแต่ไม่อยู่ ห้วงน้ำลึกหรือตื้น เป็นต้น จากส่วนที่เป็นภายใน 1 ส่วน เป็นการรู้ด้วยปัญญาญาณ รู้แจ้งในภายใน มีความรู้ในอริยสัจสี่ เป็นอริยบุคคลที่พัฒนามาตามลำดับ คนที่ถึงแล้วจึงรู้ มีการนำไปโยงกับอุปมาในส่วนที่สังเกตจากภายนอก เช่น หม้อที่เต็มและปิดฝาคือบุคคลที่รู้อริยสัจมีความน่าเลื่อมใส ห้วงน้ำตื้นมีเงาตื้น คือบุคคลที่ไม่รู้อริยสัจทั้งยังไม่น่าเลื่อมใส เป็นต้นจากการเชื่อมอุปมาเหล่านี้กับองค์ธรรมทั้งสามเข้าด้วยกันทำให้เราไม่อาจสรุปว่าไม่เรียนคือไม่รู้ อย่าเหมา เพราะเมฆอาจจะรอคำรามหรือฝนรอตกอยู่ คนที่กำลังบรรลุธรรมหรือบรรลุธรรมแล้วท่านจึงจัดไว้ด้วยกันเนื่องจากมาตามทาง อย่างไรก็ถึงจุดหมาย จะรู้ประมาณว่ามากหรือน้อย สัดส่วนเป็นเท่าใด มองได้ครอบคลุม ไม่ด่วนตัดสิน-ในกลุ่มที่สองใช้อุปมาของวัวที่ข่มเหงหรือไม่ข่มเหงฝูงตนฝูงอื่นหรือทั้งสอง ต้นไม้เป็นไม้เนื้อแข็งหรืออ่อนคือคนมีศีลหรือทุศีลอยู่ร่วมกัน อสรพิษคือความโกรธมีพิษแล่นหรือไม่แล่น พิษร้ายหรือไม่มีพิษ การอุปมาในข้อนี้จะช่วยให้เข้าใจในกลุ่มแรกมากขึ้น
  • 49. กามโภคีบุคคล: บุคคลผู้บริโภคกาม [6849-3d]

    58:04||Season 68, Ep. 49
    กามโภคีบุคคล:บุคคลผู้บริโภคกามเป็นผู้ที่ยังอยู่ในกระแสโลก และเป็นผู้ที่ถูกแบบคั้นด้วยกามเสมอ ในการกล่าวถึงเรื่องของทางโลกนั้นก็ใช้คำว่ากามมาอธิบายเป็นหลักโดยในที่นี้จะกล่าวถึง กาม 2 อย่าง กาม 5 อย่าง และกามโภคีบุคคล 10 อย่างกาม 2 อย่าง คือ กิเลสกามและวัตถุกาม และกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกามโภคี 10 แบ่งกลุ่มตามการแสวงหา ดังนี้ 1.    กลุ่มแสวงหาโดยไม่ชอบธรรม (ประเภทที่ 1-3) และ กลุ่มที่แสวงหาโดยชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง (ประเภทที่ 4-6): คือผู้ที่ได้ทรัพย์มาผิดวิธี หรือถูกบ้างผิดบ้าง โดยแบ่งย่อยตามการใช้จ่ายว่าเลี้ยงตนให้เป็นสุขหรือไม่ และมีการแบ่งปันทำความดีหรือไม่ 2.     กลุ่มแสวงหาโดยชอบธรรม (ประเภทที่ 7-10): คือผู้ที่ได้ทรัพย์มาถูกวิธีประเภทที่ 7-8: ไม่แบ่งปันทำความดี (ต่างกันที่การเลี้ยงดูตนเอง)                  ประเภทที่ 9: เลี้ยงตนเป็นสุขและแบ่งปัน แต่ยังขาดสติปัญญา ยังหลงมัวเมาติดในทรัพย์              ประเภทที่ 10 (ผู้ประเสริฐที่สุด): คือผู้ที่แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม นำมาเลี้ยงตนให้เป็นสุข เผื่อแผ่แบ่งปันทำความดี และที่สำคัญคือ ไม่ลุ่มหลงมัวเมา มีสติปัญญารู้เท่าทันเห็นทั้งคุณและโทษของวัตถุ ทำให้จิตใจเป็นอิสระอยู่เหนือโภคทรัพย์นั้นผู้บริโภคกามที่เลิศที่สุดคือผู้ที่หาทรัพย์ชอบธรรม ใช้จ่ายเพื่อตนและผู้อื่น และมีปัญญาเป็นนายเหนือวัตถุ
  • 48. ธรรมุทเทศ 4 [6848-3d]

    55:03||Season 68, Ep. 48
    ธรรมุทเทศ มาจากธรรมะ+อุเทศ อุเทศคือสิ่งที่ยกขึ้นแสดง รวมกันหมายถึง ธรรมที่แสดงไว้ คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ในตอนนี้เป็นเรื่องราวที่พระเจ้าโกรัพยะ ได้ตรัสถามกับท่านพระรัฐปาละถึงความเสื่อม 4 ประการที่เมื่อบุคคลบางพวกประสพแล้วจึงออกบวชคือความเสื่อมเพราะชราความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้ความเสื่อมจากโภคสมบัติความเสื่อมจากญาติ ส่วนพระรัฐปาละยังไม่ได้เผชิญกับความเสื่อมทั้ง 4 ประการนี้เลยท่านเห็นสิ่งใดจึงก็ออกบวช ท่านพระรัฐปาละจึงได้ยกถึงธรรมุทเทศ 4 ประการที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้มากล่าวดังนี้ธรรมุทเทศ 4 ประการ 1. โลกอันชรานำไปไม่ยั่งยืน: สัตว์โลกต้องแก่ชราไปตามกาลเวลา 2. โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน: สัตว์โลกไม่สามารถต้านทานความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ และไม่เป็นอิสระเฉพาะตน 3. โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป: ทรัพย์สินและทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ ตายแล้วก็ไปด้วยไม่ได้ 4. โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป้นทาสแห่งตัณหา:มนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด เป็นทาสของตัณหา  เมื่อผู้ใดเพ่งลงไปให้เห็นโทษภัยของความเสื่อมนั้น จะทำให้มองเห็นทางออกแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ของความเสื่อม 4 ประการนี้ได้
  • 47. โทษของความโกรธ [6847-3d]

    56:07||Season 68, Ep. 47
    ในมุมมองของคนที่มักโกรธ พอโกรธหรือไม่พอใจใครแล้ว ก็จะมองคน ๆ นั้นด้วยความเป็นศัตรูทันที คนมักโกรธจะมีความมุ่งหมายร้าย 7 ประการต่อศัตรู (เช่น ขอให้ผิวพรรณทราม, เป็นทุกข์, เสื่อมลาภยศ) แต่ผลร้ายเหล่านั้นกลับย้อนมาทำลายผู้โกรธเสียเอง ทำให้ชีวิตตกต่ำ จิตใจมืดบอดเหมือนไฟไหม้ และไม่เห็นธรรมพระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ถึงสาเหตุของความโกรธไว้ใน "มหานิทานสูตร" ว่าความโกรธมีรากฐานมาจาก "ตัณหา" หรือความยึดติด พอใจสิ่งใดก็เกิดความหวงกั้น เมื่อกระทบกระทั่งจึงพัฒนาจากความขัดเคือง (ปฏิฆะ) กลายเป็นความโกรธ (โกธะ) และลุกลามเป็นการประทุษร้าย (โทสะ)แนวทางแก้ไขคือการเจริญเมตตาภาวนาและดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการไม่โกรธตอบ แม้จะมีเหตุผลให้โกรธเพียงใดก็ตาม เพื่อตัดวงจรการจองเวรที่จะเกิดขึ้นจากความโกรธนั้น
  • 46. การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ [6846-3d]

    52:40||Season 68, Ep. 46
    "ธรรมเทศนา" คือการแสดงธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่ออธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงกล่าวไว้กับพระมหากัสสปะว่า การแสดงธรรมมีทั้งแบบบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์·      การแสดงธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ คือการแสดงโดยมีเจตนาหวังลาภ สักการะ หรือคำสรรเสริญ ซึ่งจะนำไปสู่สัทธรรมปฏิรูป (การเลียนแบบธรรมะ)·      การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ ต้องอาศัย 5 ประการ คือ 1. มีเจตนาให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาและปัญญา 2. อาศัยธรรมะเป็นธรรมอันดี 3. อาศัยความกรุณา 4. อาศัยความเอ็นดู และ 5. อาศัยความอนุเคราะห์การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ แบ่งเป็นกลุ่มได้ 3 กลุ่ม·     ผู้ฟังปฏิบัติได้ แล้วเกิดผลจริง·     ธรรมะที่แสดงดีมีประโยชน์มาก·     จิตใจของผู้แสดงธรรมประกอบด้วยพรหมวิหาร 4         การจะพิจารณาว่าผู้แสดงธรรมบริสุทธิ์หรือไม่ ให้ดูที่การเป็นอยู่ การพูดจา ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิจารณา           ปัจจัยที่จะทำให้พระสัทธรรมยั่งยืนคือการที่พุทธบริษัท 4 มีความเคารพในพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ ในสิกขา สมาธิ และเคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงการเล่าเรียนให้ถูกต้อง
  • 45. ธรรมเพื่อการพัฒนาตนเอง [6845-3d]

    56:23||Season 68, Ep. 45
    “ภาวนา” คือ การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นทุกด้าน มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าและเจริญงอกงามอยู่เสมอ ในตอนนี้จะกล่าวถึงธรรมะ 3 หมวดที่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาตนเอง ได้แก่1.วุฑฒิธรรม 4 (ธรรมเป็นเครื่องเจริญแห่งปัญญา) : ประกอบด้วย การคบหาสัตบุรุษ (สัปปุริสังเสวะ) , การเอาใจใส่เล่าเรียนฟังธรรม (สัทธัมมัสสวนะ) , การคิดวิเคราะห์อย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) , และการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (ธัมมานุธัมมปฏิบัติ)2.วัฒนมุข 6 (ประตู 6 ประการสู่ความเจริญงอกงามของชีวิต) : ประกอบด้วย ความไม่มีโรค (อาโรคยะ) , ความมีระเบียบวินัย (ศีล) , การศึกษาแนวทางจากบัณฑิต (พุทธานุมัต) , การใฝ่ฟังศึกษาหาความรู้ (สุตะ) , การดำเนินชีวิตในทางที่ชอบธรรม (ธรรมานุวัติ) , และความเพียรพยายามไม่ย่อหย่อน (อลีนตา)3.อธิษฐานธรรม 4 (ธรรมที่เป็นฐานที่มั่นคงเพื่อความสำเร็จ) : ประกอบด้วย ปัญญา (การหยั่งรู้เหตุผล) , สัจจะ (การพูดจริงทำจริง) , จาคะ (การสละสิ่งไม่ดีออกไป) , และอุปสมะ (ความสงบ)ธรรม 3 หมวดนี้เป็นธรรมที่เป็นไปในแนวเดียวกัน ที่เมื่อได้นำไปประพฤติปฏิบัติแล้วก็จะเกิดการพัฒนา ก้าวหน้า และนำไปสู่ความเจริญงอกงามในชีวิตได้
  • 44. อินทรีย์ : ความเป็นใหญ่ [6844-3d]

    58:34||Season 68, Ep. 44
    อินทรีย์ หมายถึง ความเป็นใหญ่มีการใช้อยู่ในหลายๆนัยยะ ที่จะนำมากล่าวในที่นี้มี 22 ข้อ ตามที่รวบรวมไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งรวบรวมตามพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ ได้แก่อินทรีย์ 6: คืออายตนะหรือประสาทสัมผัสทั้ง 6 (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) ซึ่งแต่ละอย่างมีความเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน (เช่น หูเป็นใหญ่ในการได้ยินเสียง)อินทรีย์ 3 (นัยยะที่ 1): เกี่ยวข้องกับภาวะเพศและการเวียนว่ายตายเกิด ได้แก่ ปุริสินทรีย์ (ภาวะชาย), อิตถินทรีย์ (ภาวะหญิง), และ ชีวิตินทรีย์ (ภาวะชีวิต)อินทรีย์ 3 (นัยยะที่ 2): เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ (โลกุตตระ) ได้แก่1.อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ คืออินทรีย์ของผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าจะรู้สัจธรรม2.อัญญินทรีย์ คือ ปัญญาอันรู้ทั่วถึง3.อัญญาตาวินทรีย์ คือปัญญาอันรู้ทั่วถึงแล้วอินทรีย์ 5 (นัยยะที่ 1) ได้แก่ ความสุขกาย ความทุกข์กาย ความสุขใจ ความทุกข์ใจ อุเบกขาอินทรีย์ 5 (นัยยะที่ 2) เป็นนัยยะที่เราสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมที่เหมือนกันโดยองค์ธรรมกับพละ5พละ 5 ได้แก่ 1)ศรัทธา คือ ความมั่นใจ 2)วิริยะ คือ ความเพียร 3)สติ คือ ความระลึกได้ 4)สมาธิ คือ จิตเป็นอารมณ์อันเดียว 5)ปัญญา คือ ความเห็นตามความเป็นจริง
  • 43. อปริหานิยธรรม : ธรรมะอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม [6843-3d]

    58:34||Season 68, Ep. 43
    "อปริหานิยธรรม" คือ ธรรมะอันเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เสื่อม ซึ่งจะนำมาซึ่งความเจริญเพียงฝ่ายเดียว หลักธรรมนี้มีหลายนัยยะนัยยะแรกมี 7 ประการ ได้แก่ 1) หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ 2) พร้อมเพรียงกันประชุม 3) ไม่ล้มล้างสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ  4) เคารพภิกษุผู้ใหญ่ 5) ไม่ตกอยู่ในอำนาจตัณหา 6) ยินดีในเสนาสนะป่า 7) ตั้งสติระลึกถึงเพื่อนพรหมจารีนัยยะอื่น ๆ ที่นำไปสู่ความเจริญและป้องกันความเสื่อม ได้แก่·      คุณธรรมในตน 7 ประการ: เช่น ไม่ยินดีการคุย, ไม่ปรารถนาลามก, ไม่คบมิตรชั่ว·      อริยทรัพย์ 7: เช่น ศรัทธา, หิริ, โอตตัปปะ, สติ, ปัญญา·      โพชฌงค์ 7: เช่น สติ, วิริยะ, สมาธิ, อุเบกขา·      สัญญา 7: เช่น อนิจจสัญญา, อนัตตสัญญา, อสุภสัญญา·      สาราณียธรรม 6หากรักษาธรรมเหล่านี้ไว้ได้ ความเสื่อมจะไม่ปรากฏขึ้นเลย แต่จะมีความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น