Share

cover art for ผู้ชำนาญวิถีทางแห่งวิตก- วิตักกสัณฐานสูตรและเทวธาวิตักกสูตร [6733-4s]

4 คลังพระสูตร

ผู้ชำนาญวิถีทางแห่งวิตก- วิตักกสัณฐานสูตรและเทวธาวิตักกสูตร [6733-4s]

Season 67, Ep. 33

สูตร 1 # วิตักกสัณฐานสูตร สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ได้รับตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า วีธีการละอกุศล 5 ประการ โดยการยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อกำจัดอกุศล ที่เมื่อละได้แล้ว จะทำให้จิตตั้งมั่นสงบ เกิดสมาธิขึ้น ตัดตัณหา ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้


สูตร 2 # เทวธาวิตักกสูตร วิธีการแบ่งความคิดออกเป็น 2 ประเภท คือ อกุศลวิติก และกุศลวิตก ด้วยการมีสติแยกแยะความคิดที่เป็นอกุศลว่าเกิดขึ้นแล้ว และกำจัดความคิดที่เป็นอกุศลออกไป ตั้งดำรงความคิดที่เป็นกุศลไว้ จะทำให้จิตไปตามทางคือ มรรค สามารถทำสมาธิ ปัญญาให้แจ้ง และบรรลุธรรมได้


พระสูตรเพิ่ม # สัจจวิภังคสูตร ธรรมจักรอันยอดเยี่ยมตถาคตผู้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกยังไม่เคยประกาศ ได้แก่ การบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย การจำแนก การทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ 4 ได้ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่าพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะสามารถอธิบายความอริยสัจ 4 ได้ ซึ่งพระสารีบุตรได้แสดงธรรมแห่งอริยสัจ 4 นี้ ให้เหล่าภิกษุได้ฟังอย่างละเอียด เมื่อพระสารีบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีภาษิตของท่านพระสารีบุตร



More episodes

View all episodes

  • 38. ปัญหาที่ไม่ทรงพยากรณ์ - จูฬมาลุงกยสูตร และ มหามาลุงกยสูตร [6738-4s]

    58:26||Season 67, Ep. 38
    สูตร#1 จูฬมาลุงกยสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระมาลุงกยบุตร ณ พระเชตวัน ทรงปรารภเรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับทิฏฐิ 10 ประการ คือจะทรงตอบรับหรือตอบปฏิเสธ ผู้ฟังก็ไม่สามารถเข้าใจ และไม่มีประโยชน์ พระมาลุงกยบุตรรู้สึกไม่พอใจ ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบอัพยากตปัญหา 10 ประการ จึงเข้าไปถามอีกครั้งหนึ่ง แต่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงตอบปัญหาเหล่านี้ เพราะไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้ แต่ปัญหาที่จะทรงตอบ คือ ปัญหาเรื่องอริยสัจ 4 เพราะมีประโยชน์ และจะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ เมื่อทรงตรัสจบ ท่านพระมาลุงกยบุตรมีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตนั้นสูตร#2 มหามาลุงกยสูตร ทรงแสดงแก่พระมาลุงกยบุตรพร้อมกับภิกษุหลายรูป ทรงปรารภเรื่อง โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 ประการ (เครื่องร้อยรัดที่ยึดจิตให้อยู่ในภพ) ทรงตรัสถามภิกษุเรื่องสังโยชน์ 5 ประการ ท่านพระมาลุงกยบุตรมีคำตอบที่ถูกต้อง แต่บทพยัญชนะนั้นไม่แยบคาย จะทำให้อัญเดียรถีย์ปริพาชก นำเรื่องเด็กอ่อนที่นอนหงายมาโต้กลับได้ และ เพื่อปรับทิฏฐิของท่านมาลุงกยบุตรให้ละเอียดยิ่งขึ้นไป จึงทรงอธิบายขยายความถึงอุบายในการนำออกและข้อปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ และทรงแสดงว่า รูปฌาณ 4 และอรูปฌาณ 4 เป็นมรรคและปฏิปทาที่ทำให้ละสังโยชน์ทั้ง 5 ประการได้
  • 37. สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง - มหาสุทัสสนสูตร (ตอนที่ 2) [6737-4s]

    55:31||Season 67, Ep. 37
    มหาสุทัสสนสูตร (ตอนที่ 2) พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงดำริว่า เหตุที่ทรงมีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ในเวลานี้ เป็นผลเป็นวิบากแห่งกรรม 3 อย่าง คือ (1) การให้ (2) การข่มใจ (3) การสำรวม จึงทรงบำเพ็ญฌาน ได้บรรลุฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 4 , ทรงเจริญพรหมวิหาร 4จากนั้นเวลาล่วงไปหลายพันปี พระนางสุภัทราเทวีเป็นนางแก้ว ได้เสด็จมาเฝ้า ทรงเห็นว่าพระสวามีจะทรงสวรรคต จึงทรงขอร้องให้อยู่ต่อเพื่อเห็นแก่สมบัติ เห็นแก่ชีวิต แต่กลับตรัสตอบขอให้พระเทวีทรงขอร้องใหม่ในทางตรงกันข้าม เพราะการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นของธรรมดา การตายของผู้มีความกังวล ห่วงใย เป็นทุกข์ และถูกติเตียน พระเทวีก็ทรงกรรเเสง และทรงตรัสขอร้องใหม่ ตามที่พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงแนะนำนั้น และต่อมาไม่นาน พระเจ้ามหาสุทัสสนะก็สวรรคต เพราะทรงเจริญพรหมวิหาร 4 ประการ หลังจากสวรรคตแล้วจึงไปเกิดในพรหมโลก พระพุทธเจ้าทรงสรุปว่าพระเจ้ามหาสุทัสสนะสมัยนั้น คือพระองค์เอง และทรงชี้ให้เห็นสัจธรรมว่า แม้ทรงพรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยสมบัตินานาประการ แต่ก็ทรงใช้สอยเพียงบางส่วนเท่านั้น และทรงตรัสว่า สังขารเหล่านั้นทั้งปวงล่วงลับดับไป ผันแปรไปแล้ว สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่ยั่งยืน สังขารทั้งหลาย ไม่น่ายินดี ข้อนี้จึงควรเบื่อหน่าย ควรคลายกำหนัด ควรจะหลุดพ้นไปจากสังขารทั้งปวงโดยแท้
  • 36. สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ - มหาสุทัสสนสูตร (ตอนที่ 1) [6736-4s]

    57:53||Season 67, Ep. 36
    มหาสุทัสสนสูตร (ตอนที 1) ทรงแสดงแก่ท่านพระอานนท์ ขณะประทับใต้ควงไม้สาละคู่ในวันปรินิพพาน ทรงปรารภคำกราบทูลพระอานนท์ว่า อย่าได้ทรงปรินิพพานที่กุสินารา ซึ่งเป็นเมืองเล็กนี้ ขอเสด็จไปในเมืองใหญ่ ทรงตรัสห้ามไม่ให้พูดอย่างนั้น แล้วทรงเล่าเรื่องในอดีตของกรุงกุสินารา เคยเป็นราชธานีของพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า มหาสุทัสสนะ ผู้ครอบครองมหาอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล และมีกรุงกุสาวดี คือกรุงกุสินาราในบัดนี้เป็นเมืองหลวง มีประชากรหนาแน่น เจริญรุ่งเรืองมาก พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีรัตนะหรือแก้ว 7 ประการ ,ทรงมีสมบัติ 10 ประการ และทรงสมบูรณ์ด้วยพระฤทธิ์ (ความสำเร็จ 4 ประการ) ทรงเพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ และทรัพย์สมบัติเหล่านี้ เพราะกรรมดีของพระองค์ คือ ทาน ,การข่มใจ และการสำรวม จากนั้นทรงเจริญฌานสมาบัติ และพรหมวิหาร …(ยังมีต่อ)
  • 35. กามและกามคุณ- โปตลิยสูตร และนิพเพธิกสูตร [6735-4s]

    58:02||Season 67, Ep. 35
    สูตร1 # โปตลิยสูตร ทรงแสดงแก่โปตลิยคหบดี ณ นิคมของชาวอังคุตตราปะชื่ออาปณะ แคว้นอังคุตตราปะ โดยทรงปรารภคำกล่าวของโปตลิยคหบดีเรื่องที่ได้ตัดขาดโวหารทุกอย่างแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามถึงการตัดขาดโวหารของเขา แล้วทรงแสดงธรรม 8 ประการที่เป็นไปเพื่อการตัดขาดโวหารในอริยวินัย ทรงอธิบายถึงโทษแห่งกาม (กามาทีนวกถา) 7 ประการ พร้อมทั้งการพิจารณาให้เห็นโทษแห่งกาม ซึ่งจะทำให้บรรลุฌาน 4 และวิชชา 3 เมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลง โปตลิยคหบดีได้แสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิตสูตร#2 นิพเพธิกสูตร ว่าด้วยธรรมบรรยายที่เป็นเหตุชำแรกกิเลส คือ ทรงสอนให้ภิกษุทั้งหลายทราบสภาวธรรมต่าง ๆ รวม 6 ประการดังนี้ (1) กาม เหตุเกิดแห่งกาม ความต่างกันแห่งกาม ความดับแห่งกาม ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกาม (2) เวทนา… (3) สัญญา… (4) อาสวะ… (5) กรรม… (6) ทุกข์… ทรงอธิบายขยายความแต่ละประการอย่างพิสดาร 
  • 34. หนทางสู่พรหมโลก- เตวิชชสูตร [6734-4s]

    55:54||Season 67, Ep. 34
    พระผู้มีพระภาคตรัสแก่มาณพ 2 คน คือ วาเสฏฐะ และภารัทวาชะ ขณะประทับอยู่ ณ อัมพวัน แคว้นโกศล ที่หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อมนสากฏะใกล้ฝั่งแม่น้ำอจิรวดี ปรารภเหตุที่มาณพทั้ง 2 ถกเถียงกัน และตกลงกันไม่ได้ว่าทางที่ไปสู่พรหมโลก ทางไหนเป็นทางตรง ซึ่งมาณพทั้ง 2 ต่างอ้างถึงพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทบอกไว้ จึงทูลขอพระพุทธเจ้าให้ทรงตัดสินว่าผู้ใดกล่าวถูก จึงทรงซักถาม ไล่เรียง ซึ่งพราหมณ์ผู้ได้ไตรเพทไม่เคยเห็นพรหม และทรงอธิบายสรุปให้ฟังว่า เป็นไปไม่ได้ว่าผู้ที่ไม่เคยเห็นพรหมจะบอกว่าทางนี้เป็นทางไปสู่พรหมโลก เป็นวาทะที่เลื่อนลอยไม่มีหลักฐาน และตรัสถึงคุณสมบัติของพรหมกับของพราหมณ์ที่ต่างกัน และเปรียบเทียบกันไม่ได้ เมื่อตายแล้วจะอยู่ร่วมกับพรหมได้อย่างไร แต่พระองค์ทรงรู้จักพรหม และทางไปสู่พรหมโลก ทรงอธิบายวิธีการที่จะไปอยู่กับพรหม เริ่มตั้งแต่การประมวลพรหมจรรย์ตลอดสาย จนถึงการที่สามารถละนิวรณ์ได้ จนจิตเป็นสมาธิแล้ว และให้อยู่ในพรหมวิหาร 4 ซึ่งจะเป็นเครื่องที่ทำให้ไปอยู่กับพรหมได้ มาณพทั้ง 2 เกิดความเลื่อมใส ประกาศตัวเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต 
  • 32. ธรรมผู้ครองเรือน- สิงคาลกสูตรและจัมมสาฏกชาดก [6732-4s]

    54:07||Season 67, Ep. 32
    สิงคาลกสูตร สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร ในวันหนึ่ง "เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกะ คหบดีบุตร เนื้อตัวเปียกชุ่มไปหมดกำลังไหว้ทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน จึงทรงถามสิงคาลกคฤหบดีบุตรกำลังทำอะไร สิงคาลกคฤหบดีบุตรตอบว่ากำลังไหว้ทิศทั้ง ๖ คามคำสั่งเสียของบิดา ได้ทรงตรัสว่าสิ่งที่กระทำนั้นยังไม่ตรงตามคำสั่งเสียของบิดา และได้ทรงอธิบายตรัสกับคหบดีบุตรว่า อริยสาวกละกรรมกิเลส (กรรมเครื่องเศร้าหมอง) ๔ ประการ ได้แล้ว ไม่ทำบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการ และไม่ข้องแวะอบายมุข (ทางเสื่อม) ๖ ประการ แห่งโภคะทั้งหลาย อริยสาวกนั้นเป็นผู้ปราศจากบาปกรรม ๑๔ ประการนี้แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้ปิดป้องทิศ ๖ (หมายถึงปกปิดช่องว่างระหว่างตนกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง คือ มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา บุตรและภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง มิตรสหายเป็นทิศเบื้อง ทาสและกรรมกรเป็นทิศเบื้องล่าง สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน) ปฏิบัติเพื่อครองโลกทั้งสอง ทำให้เกิดความยินดีทั้งโลกนี้และโลกหน้า หลังจากตายแล้ว ย่อมไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สิงคาลกะคหบดีบุตรขอถึงพระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต”                                                                 จัมมสาฏกชาดก พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ ปริพาชกชื่อจัมมสาฏก ได้ตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้ ได้ยินว่าปริพาชกนั้นมีหนังเท่านั้นเป็นเครื่องนุ่งและเครื่องห่ม วันหนึ่ง ปริพาชกนั้นออกจากอาราม เที่ยวไปในนครสาวัตถี มีพวกแพะชนกัน แพะเห็นปริพาชกนั้นจึงย่อตัวลงด้วยประสงค์จะวิ่งเข้าชน แต่ปริพาชกไม่หลบแพะด้วยคิดว่าแพะคงแสดงความเคารพ (โดยการย่อตัว) แพะจึงวิ่งมาชนปริพาชกนั้นที่ขาอ่อนทำให้ล้มลง เหตุที่เขายกย่องแพะซึ่งมิใช่สัตบุรุษนั้น (โดยคิดว่าแพะจะทำความเคารพเขา) ได้ปรากฏไปในหมู่ภิกษุสงฆ์ ว่าจัมมสาฏกปริพาชกกระทำการยกย่องอสัตบุรุษ จึงถึงความพินาศ พระศาสดาได้ทรงเล่าเหตุการณ์ในกาลก่อนที่เกิดขึ้นเหมือนกันให้เหล่าภิกษุฟังว่า ปริพาชกนี้ก็ได้ยกย่องอสัตบุรุษจึงถึงความพินาศแล้ว ด้วยการถูกแพะชนโดยเข้าใจว่ามันทำความเคารพ จึงยืนพนมมือ ขณะนั้น พ่อค้าผู้เป็นบัณฑิตนั่งอยู่ในตลาด เมื่อจะห้ามปริพาชกว่าอย่าได้ไว้วางใจแก่สัตว์ ๔ เท้า เพียงได้เห็นมันครู่เดียว มันต้องการจะชนให้ถนัด จึงย่อตัวลง แพะวิ่งมาโดยเร็วชนที่ขาอ่อน ทำให้ปริพาชกนั้นล้มลง ทำให้ได้รับทุกขเวทนา จึงถึงความสิ้นชีวิตไป พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ปริพาชกชื่อจัมมสาฏกในครั้งนั้น ได้เป็นปริพาชกชื่อ จัมมสาฏกในบัดนี้ ส่วนพาณิชผู้บัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต 
  • 30. การสนทนาธรรมของท้าวสักกะ–สักกปัญหสูตร [6730-4s]

    01:17:57||Season 67, Ep. 30
    # สักกปัญหสูตร ท้าวสักกะจอมเทพพร้อมด้วยปัญจสิขะ คันธรรพบุตร และ พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ได้เข้าเผ้าพระผู้มีพระภาคในถ้ำอินทสาละ ที่ภูเขาเวทิยกะ ได้สนทนาธรรมกับพระผู้มีพระภาค ในเรื่องที่ท้าวสักกะจอมเทพได้ประจักษ์กับตนว่าผู้ที่เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าจะถึงความเป็นผู้วิเศษและบรรลุธรรม เช่นเดียวกับศากยธิดา ชาติที่เกิดเป็นมนุษย์เป็นสตรี หลังจากตายแล้วมาเกิดเป็นบุตรชายของตน และคนธรรพ์ 2 องค์ซึ่งเป็นภิกษุในพระพุทธเจ้ามาก่อน เมื่อถูกตักเตือน ระลึกถึงธรรมที่ตนได้ฟัง ได้สติ เห็นโทษของกาม ตัดกามสังโยชน์เสียได้ ก็ก้าวล่วงภพอันต่ำนั้น เข้าถึงกายอันเป็นพรหมปุโรหิต เหนือเทวดาชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะจึงมาเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ได้ทูลถามคำถามว่า มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ มีอะไรเป็นเครื่องผูกมัดใจไว้จึงทำให้ไม่มีความสุข ได้ทรงตรัสตอบว่าเพราะความริษยา และความตระหนี่ เป็นเครื่องผูกมัด และได้ทรงไล่เรียงต้นเหตุแห่งความความริษยา และความตระหนี่ เริ่มจาก อารมณ์อารมณ์อันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก ความพอใจ และความวิตกส่วนแห่งสัญญาอันประกอบด้วยปปัญจธรรม ได้แก่ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ได้ตรงตรัสว่าภิกษุผู้ปฏิบัติเพื่อความสำรวมในปาติโมกข์ 3 ประการ คือ กายสมาจาร วจีสมาจาร การแสวงหา ที่ควรเสพ และที่ไม่ควรเสพ การสำรวมอินทรีย์ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมที่ควรเสพและที่ไม่ควรเสพ ภิกษุผู้ภิกษุทั้งหลายผู้หลุดพ้นเพราะสิ้นตัณหาเท่านั้น จึงจะมีความสำเร็จสูงสุด มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยยากรณ์ภาษิตนี้แล้ว ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีคือกิเลสปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแก่ท้าวสักกะจอมเทพและแก่เทวดาอื่นอีก 80,000 องค์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย มหาวรรค