Share

cover art for ผู้อยู่อย่างมีที่พึ่ง [6745-2m]

2 จิตตวิเวก

ผู้อยู่อย่างมีที่พึ่ง [6745-2m]

Season 67, Ep. 45

จิตที่ไหลไปตามกระแส สุขๆ ทุกข์ๆ ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่เกาะ ตามหาที่พึ่งไปเรื่อยๆ ขาดที่พึ่งที่แท้จริง

หากแต่ เมื่อเรามี สติเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่พึ่ง จะไม่ยึดในเวทนาทั้งสุขและทุกข์, ระลึก รู้ตัว ในสิ่งต่างๆคือ มีสติปัฏฐานสี่เป็นที่พึ่งตลอด,

อกุศลธรรมดับ กุศลธรรมเกิด ข้ามกระแสน้ำเชี่ยว ด้วยสติสัมปชัญญะ

More episodes

View all episodes

  • 49. ธรรมเหล่านั้น [6849-2m]

    56:37||Season 68, Ep. 49
    "เหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านั้น เหตุดับแห่งธรรมเหล่านั้น พบทางออกอันประเสริฐ” ธรรมเหล่านั้นคือขันธ์ทั้งห้า(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่ให้เรายึดมั่นถือมั่น เกิดทุกข์, จึงจำเป็นที่เราพิจารณาไตร่ตรองตามหลัก โยนิโสมนสิการ ถึงเหตุแห่งการเกิด และเหตุแห่งการดับของขันธ์ทั้งห้า (ของธรรมเหล่านั้น), ทางดับทุกข์มีแน่นอนคือการเจริญ อริยมรรคมีองค์ 8 หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้เกิด ปัญญา เห็นแจ้งในอริยสัจสี่ และขันธ์ห้า, ด้วย ศรัทธา ที่มั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (ดังเช่นพระสารีบุตรที่บรรลุโสดาบัน ด้วยธรรมะ ข้อความสั้นๆแต่พิจารณาขยายต่อไปถึงทางอันประเสริฐแปดอย่าง) นำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ได้ในที่สุด
  • 48. ความจริงที่พระพุทธเจ้าสอน(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) [6848-2m]

    55:40||Season 68, Ep. 48
    ธรรมชาติของมนุษย์จะหลงเพลินไปตามสิ่งกระทบทางทวารทั้งหก ทำให้จิตเกิดสภาวะขึ้นๆ ลงๆ มีทุกข์, เกิดทุกข์เพราะอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นที่ทำงานของตัณหาสร้างภพสร้างชาติ สร้างความยึดถือ(อุปาทาน) ด้วยกิเลส เกิดเป็นตัวตน ขึ้นมา, จึงต้องฝึกสติ ให้สงบลงจนเกิด สมาธิ เมื่อมีสมาธิเป็นพื้นฐาน จึงใช้ ปัญญาพิจารณาเห็นความจริงของ สังขารทั้งปวง (รวมถึงกายและจิต) ว่า ไม่เที่ยง (อนิจจัง), เป็นทุกข์ (ทุกขลักษณะ), ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา), พิจารณาให้เกิด ภาวนามยปัญญา เห็นความไม่เที่ยงแท้ของสังขารทั้งปวงด้วยปัญญาอย่างชัดเจน แม้จิตก็ไม่เที่ยง เกิดความหน่าย ปล่อยวางตัณหา อุปาทาน จนสามารถปล่อยวางจิตได้หมดสิ้น สิ่งที่เหลืออยู่คือ "ความว่าง" หรือ "ความเย็น" นั่นแหละคือ พระนิพพาน อันเป็นธรรมที่หมดจด ไม่ย้อนกลับมาเกิดความทุกข์อีก
  • 47. สมถะ วิปัสสนา เคียงคู่กัน [6847-2m]

    56:17||Season 68, Ep. 47
    มนุษย์เป็นสภาวะที่มีรูป (กาย, ลมหายใจ) และนาม (วิญญาณ, สัญญา, เวทนา, สังขาร) ซึ่งประสานกันและยึดโยงด้วยกรรม ทำให้จิตปรุงแต่งตามอารมณ์ เกิดเป็นความยึดถือในสิ่งไม่เที่ยง แปรปรวน จนเกิดกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ จึงจำเป็นที่เราต้องฝึกสมถะและวิปัสสนาเพื่อคลายความยึดถือในรูปนาม แม้แต่จิตก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จิตจะค่อยๆแยกตัวออกจากกิเลส จิตคลายความยึดถือ จะเป็นผู้พ้นจากความทุกข์คือนิพพานได้ในที่สุดเจริญสมถะ: ด้วยการเห็นลมหายใจเข้าออก เพื่อให้เกิดสัมมาสติ ในการระลึกถึงลมและสังเกตอาการของนามธรรมต่างๆ (ความคิด, ความหมายรู้, เวทนา, การปรุงแต่งทั้งทางกาย/ใจ)เจริญวิปัสสนา:ใช้ โยนิโสมนสิการ ในการแยกแยะและเห็นสภาวะของจิตว่า จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)การทำเช่นนี้คือการนำอาสวะกิเลสออกจากจิต และตัดกิเลสเหล่านั้นได้ เป็นการเจริญอริยมรรคมีองค์แปด
  • 46. มุนี ผู้อยู่กับปัจจุบัน [6846-2m]

    53:13||Season 68, Ep. 46
    ท่านที่ยังติดอยู่กับอดีตหรือกังวลกับอนาคต จนทำให้ไม่มีความสุข, การจมอยู่กับเรื่องราวที่ล่วงไปแล้ว (อดีต) และการมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง (อนาคต) นั้น ทำให้จิตเพลิน ขาดสติ ดังนั้น ทางแก้คือ การมีสติ อยู่กับปัจจุบัน (สัมมาสติ) ฝึกสติให้ระลึกรู้และสังเกตสิ่งที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยไม่ปรุงแต่ง หรือเพลินไปตามอดีต/อนาคต ที่สำคัญ ต้องมีความเพียร มีสติอย่างต่อเนื่อง, "ทำความเพียรเสียแต่วันนี้" เจริญธรรมในปัจจุบันให้ "เนืองๆ ให้ปรุโปร่ง" จนเกิดความเคยชินใหม่ มีสติมั่นคงเหมือนเสาเขื่อน จะเกิดการเห็นแจ้งในธรรมปัจจุบัน นำไปสู่การเกิดกุศลธรรม สติ สมาธิ ปัญญา และเป็นหนทางสู่การระงับความทุกข์ (นิพพาน) ได้ชื่อว่าเป็น "ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ" (ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน)
  • 45. จากรักของแม่ สู่ใจที่เป็นพรหม [6845-2m]

    54:17||Season 68, Ep. 45
    ตั้งจิตตภาวนา เจริญพรหมวิหาร 4 ถวายเป็นพระราชกุศลน้อมถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง :เมตตา: ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขอย่างไม่มีเงื่อนไขกรุณา: ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ ไม่เบียดเบียนใครมุทิตา: ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีหรือพ้นทุกข์ (ช่วยกำจัดความริษยา)อุเบกขา: การวางเฉยอย่างมีสติ และต้องมาพร้อมกับเมตตา กรุณา มุทิตาตั้งไว้ที่ท่ามกลางอกแล้วแผ่ให้ตนเอง ผ่านไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกทิศทาง, จิตมีความสุข ปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น  
  • 44. มีปัญญา ปฏิบัติบูชา [6844-2m]

    55:19||Season 68, Ep. 44
    ขณะที่เราเผชิญความพลัดพราก สูญเสีย ความโศกเศร้า เรามาร่วมปฏิบัติบูชา และเข้าใจความจริงให้เกิดปัญญา ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือน “เราจะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น”, ความทุกข์ใจจากการพลัดพราก นั้นเกิดจากความยึดถือ (อุปาทาน ตัณหา) ในสิ่งที่รักและไม่ต้องการสูญเสียหรือเปลี่ยนแปลง เราจึงต้องมี 1. ปัญญา คือ การเข้าใจว่าทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย (ความไม่เที่ยง) ซึ่งจะช่วยตัดความยึดถือ 2. มีสติ คือ การระลึกถึงความดีของผู้จากไปโดยปราศจากความยึดถือ (ต่างจากการยึดถือความดี), สติจะช่วยลดความเพลิน ลดอุปาทาน และเปลี่ยนความเศร้าโศกเสียใจด้วยการใส่สติเข้าไป คือสลดสังเวช ทำให้เกิดปัญญาเห็นความไม่เที่ยง ดับความยึดถือ ทำให้จิตคลายทุกข์ได้ และการบูชาสูงสุด คือการรีบทำความดี มีความเพียร ปฏิบัติบูชา อุทิศให้ผู้ที่จากไป เป็นการบูชาความดีของพระองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติบูชาที่ถูกต้องตามอริยมรรคมีองค์แปด เกิดปัญญาสูงสุดและเป็นบุญอันยิ่งใหญ่
  • 43. ผู้พ้นบ่วงแห่งมาร [6843-2m]

    57:36||Season 68, Ep. 43
    ธรรมชาติของจิตมัก "ส่งออก" ไปคิดเรื่องต่าง ๆ คล้าย "ลิง"โหนกิ่งไม้ไปมา หาก "เพลิน" ตามความคิด จะมีอารมณ์มาพร้อมกับความคิดนั้นๆเสมอ ถ้าไม่มีสติ จะเกิดการเกลือกกลั้ว นำไปสู่กิเลส ความเศร้าหมอง ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้จิตขึ้นลงตามอารมณ์และตกอยู่ในบ่วงของมารการฝึกสติจึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรอดพ้นบ่วงของมาร สติคือการระลึกรู้อยู่ที่ "ลมหายใจ" เป็นหลัก (เป็นที่เกาะ ที่จับ หรือเสา) สติจะทำหน้าที่แยกแยะส่วนประกอบต่าง ๆ ในใจ และ "รักษาจิต" ไม่เผลอเพลินไปตามอารมณ์ที่ติดมากับสิ่งนั้น โดยมีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องฝึกสติเมื่อมีสติรักษาจิต จะทำให้จิตไม่เข้าไปเกลือกกลั้วในอารมณ์ที่มากับผัสสะ ทำให้ไม่เกิดราคะ โทสะ โมหะ จิตจะไม่เศร้าหมอง และเมื่อควบคุมจิตได้ จะสามารถรอดพ้นจากบ่วงของมารได้ในที่สุด
  • 42. แยกส่วนประกอบในช่องทางใจ [6842-2m]

    59:04||Season 68, Ep. 42
    จิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนจะถูกครอบงำด้วยความเคยชิน เปรียบเหมือนสัตว์หกชนิดที่แล่นไปตามอารมณ์และผัสสะ (การกระทบ) และนำมานำมาซึ่งปัญหาและความทุกข์ หากแต่ เราฝึกฝนจิตให้ดีด้วยหลักการ: สัมมาสติ คือฝึกสติ เพื่อ แยกแยะ สิ่งที่มากระทบออกเป็น นาม รูป และวิญญาณ และให้ใช้ กุศลธรรม เป็นเกณฑ์ โดยให้ จดจ่อรู้ลม (ฌาน) แต่ รับรู้แต่ไม่ตามไป กับอารมณ์ รวมถึง เจริญ พรหมวิหาร (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) ผลจากการแยกแยะจิตด้วยสัมมาสติคือการเข้าถึง สมาธิ และเป็น จิตที่มีมรรคแปดเป็นองค์ประกอบ ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุข ความปลอดภัย ความสบาย และความ เกษม (ความหลุดพ้นจากความทุกข์)
  • 41. มีสติ ทุกที่ ทุกเวลา [6841-2m]

    58:48||Season 68, Ep. 41
    - สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง หมายถึงสติต้องมีในทุกที่ ทุกเวลา- สติมี 2 ประเภทคือ สัมมาสติ กิเลสลด กุศลเพิ่มมิจฉาสติ กิเลสเพิ่ม อกุศลเพิ่มการมีสติต้องมีทุกที่ทุกเวลาโดยเริ่มจากความเพียร การสังเกต รู้ตัวว่าจิตเรากำลังมีความฟุ้งซ่าน หรือ หดหู่ และเลือกใช้ธรรมะให้เหมาะสม สติจึงจำเป็นตลอดเวลา เพราะต้องปรับจิตให้เกิดสมดุล สติต้องรักษาอยู่ตลอด เปลี่ยนมิจฉาสติให้เป็นสัมมาสติ เกิดสมาธิ อุเบกขา ปีติ วิริยะ ธัมมวิจยะ เกิดปัญญา -สติ คือสติปัฏฐานสี่ ต้องมีตลอดเวลา-แตกต่างจากโพชฌงค์ ที่ต้องใช้ให้เหมาะสม ไม่ใช้ตลอดเวลา โดยแบ่งออกเป็น2กลุ่ม คือกลุ่มที่ 1 : ใช้ขณะที่จิตกำลังหดหู่ ซึมเศร้า ไม่ใช้ในขณะที่จิตที่ไม่สงบ จิตฟุ้งซ่าน เพราะยิ่งใส่ลม ใส่ฟืน ไฟก็จะยิ่งโหม ยิ่งฟุ้งซ่าน1.1 ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือการไตร่ตรองใคร่ครวญธรรมะ คิดตริตรึก ภายในและภายนอก1.2 วิริยสัมโพชฌงค์ คือ การเร่งความเพียรทางกายและทางจิต การถูกกระตุ้น1.3 ปีติสัมโพชฌงค์ คือ คนอิ่มเอิบใจ ความร่าเริงบันเทิงใจ ปิติมีสองแบบอามิสและนิรามิส กลุ่มที่ 2 : ใช้ขณะจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน ไม่ใช้ใน จิตที่หดหู่ไม่แช่มชื่น ซึมเศร้า จิตก็จะยิ่งแย่ เหมือนการโรยขี้เถ้าชุ่มน้ำลงไป ใส่ฟืนเปียก หญ้าเปียกลงไป ในไฟกองน้อยๆ 2.1 ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบระงับจากในภายใน ไม่ต้องมีวิตก วิจารณ์              -ความสงบระงับทางกาย             -ความสงบระงับทางจิต2.2 สมาธิสัมโพชฌงค์ ความที่จิตเป็นหนึ่ง เป็นอารมณ์อันเดียว ในภายใน              -มีวิตก วิจารณ์ คือแบบไม่มีอกุศล             -ไม่มีวิตก วิจารณ์ ว่างๆ 2.3 อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สงบจนจิตตั้งมั่นเป็นอย่างดีจนจิตวางเฉยได้ แม้มีสิ่งมากระทบ ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง             -วางเฉยจากภายนอก              -วางเฉยจากในภายใน