Share
![cover art for สร้างสติผ่านอปัณณกปฏิปทา [6824-2m]](https://open-images.acast.com/shows/63760aac34970700111773f4/show-cover.jpg?height=750)
2 จิตตวิเวก
สร้างสติผ่านอปัณณกปฏิปทา [6824-2m]
อปัณณกปฏิปทา 3 คือข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด, ปฏิปทาที่เป็นส่วนแก่นสารเนื้อแท้ ซึ่งจะนำผู้ปฏิบัติให้ถึงความเจริญงอกงามในธรรม เป็นผู้ดำเนินอยู่ในแนวทางแห่งความปลอดพ้นจากทุกข์อย่างแน่นอนไม่ผิดพลาด เราสามารถสร้างสติผ่านอปัณณกปฏิปทาสามนี้ได้ โดย
1) มีสติผ่านอินทรียสังวร การสำรวมอินทรีย์ คือระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำใจ เมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง 6 รับรู้แต่ไม่ตามไป จิตสติลมอยู่ด้วยกัน
2) มีสติผ่านโภชเน มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณในการบริโภค รู้จักพิจารณารับประทานอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายใช้ทำกิจให้ชีวิตผาสุก มิใช่เพื่อสนุกสนาน มัวเมา พิจารณาทั้งด้านสุภะและอสุภะ
3) มีสติผ่านชาคริยานุโยค การหมั่นประกอบความตื่น ไม่เห็นแก่นอน คือขยันหมั่นเพียรตื่นตัวอยู่เป็นนิตย์ ชำระจิตมิให้มีนิวรณ์ พร้อมเสมอทุกเวลาที่จะปฏิบัติกิจให้ก้าวหน้าต่อไป
*ที่น่าสังเกตคือทั้งสามข้อนี้ไม่ใช่สมาธิ เป็นส่วนของศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ เป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด ที่เมื่อทำแล้วเป็นไปมีแต่เจริญโดยท่าเดียว เป็นปัญญาเพื่อละอาสวะและเป็นไปเพื่อความดับเย็น
More episodes
View all episodes

51. วิปัสสนาพาพ้นทุกข์ [6851-2m]
56:46||Season 68, Ep. 51วิญญาณเป็นตัวเชื่อมให้จิตใช้เป็นเครื่องมือเพลินและยึดถือในรูป เวทนา สัญญา สังขาร (วิญญาณฐิติ) ผ่านทางอายตนะ ก่อให้เกิดนันทิราคะ (ความกำหนัดด้วยความเพลิน) ซึ่งเป็นเชื้อให้วิญญาณเจริญงอกงาม ทำให้จิตไม่สงบ, อวิชชาบังไม่ให้เห็นรอยต่อของความเพลิน และตัณหาคือเชือกผูกมัด นำไปสู่การยึดถือสิ่งที่ไม่เที่ยง (อนัตตา) ว่าเป็นตัวตน (อุปทาน) และเป็นทุกข์, วิปัสสนาคือการเห็นตามความเป็นจริง โดยเริ่มจากการมีสติอยู่กับการรับรู้ รู้สักแต่ว่า "รู้" สติช่วยให้นันทิราคะอ่อนกำลังลง ปัญญาจะเกิดขึ้น เห็นไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา), อวิชชาระงับ, ละอวิชชาได้ ทำให้พ้นจากทุกข์ ด้วยการเห็นตามความเป็นจริง
50. สมถะเพื่อพัฒนาจิต [6850-2m]
58:26||Season 68, Ep. 50จิตที่ไม่ได้รับการฝึก จิตจะกระเพื่อมไปตามผัสสะที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (ช่องทางหกทาง) ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านและขาดสมาธิ, ทางแก้คือ เจริญอานาปานสติ โดยใช้ลมหายใจ เป็นเครื่องมือเปรียบเสมือนการนำจิตไปผูกไว้กับเสาที่มั่นคง ฝึกให้จิตอยู่กับลมหายใจอย่างต่อเนื่องและซ้ำ ๆ ประโยชน์คือ เกิดการระลึกรู้ (สติ) และ สัมมาสติ, เกิดความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ), ความฟุ้งซ่านจะอ่อนกำลังลง, เมื่อสติมีกำลังมากขึ้น สมาธิ จะเกิดขึ้นตามมา
49. ธรรมเหล่านั้น [6849-2m]
56:37||Season 68, Ep. 49"เหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านั้น เหตุดับแห่งธรรมเหล่านั้น พบทางออกอันประเสริฐ” ธรรมเหล่านั้นคือขันธ์ทั้งห้า(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่ให้เรายึดมั่นถือมั่น เกิดทุกข์, จึงจำเป็นที่เราพิจารณาไตร่ตรองตามหลัก โยนิโสมนสิการ ถึงเหตุแห่งการเกิด และเหตุแห่งการดับของขันธ์ทั้งห้า (ของธรรมเหล่านั้น), ทางดับทุกข์มีแน่นอนคือการเจริญ อริยมรรคมีองค์ 8 หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้เกิด ปัญญา เห็นแจ้งในอริยสัจสี่ และขันธ์ห้า, ด้วย ศรัทธา ที่มั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (ดังเช่นพระสารีบุตรที่บรรลุโสดาบัน ด้วยธรรมะ ข้อความสั้นๆแต่พิจารณาขยายต่อไปถึงทางอันประเสริฐแปดอย่าง) นำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ได้ในที่สุด
48. ความจริงที่พระพุทธเจ้าสอน(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) [6848-2m]
55:40||Season 68, Ep. 48ธรรมชาติของมนุษย์จะหลงเพลินไปตามสิ่งกระทบทางทวารทั้งหก ทำให้จิตเกิดสภาวะขึ้นๆ ลงๆ มีทุกข์, เกิดทุกข์เพราะอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นที่ทำงานของตัณหาสร้างภพสร้างชาติ สร้างความยึดถือ(อุปาทาน) ด้วยกิเลส เกิดเป็นตัวตน ขึ้นมา, จึงต้องฝึกสติ ให้สงบลงจนเกิด สมาธิ เมื่อมีสมาธิเป็นพื้นฐาน จึงใช้ ปัญญาพิจารณาเห็นความจริงของ สังขารทั้งปวง (รวมถึงกายและจิต) ว่า ไม่เที่ยง (อนิจจัง), เป็นทุกข์ (ทุกขลักษณะ), ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา), พิจารณาให้เกิด ภาวนามยปัญญา เห็นความไม่เที่ยงแท้ของสังขารทั้งปวงด้วยปัญญาอย่างชัดเจน แม้จิตก็ไม่เที่ยง เกิดความหน่าย ปล่อยวางตัณหา อุปาทาน จนสามารถปล่อยวางจิตได้หมดสิ้น สิ่งที่เหลืออยู่คือ "ความว่าง" หรือ "ความเย็น" นั่นแหละคือ พระนิพพาน อันเป็นธรรมที่หมดจด ไม่ย้อนกลับมาเกิดความทุกข์อีก
47. สมถะ วิปัสสนา เคียงคู่กัน [6847-2m]
56:17||Season 68, Ep. 47มนุษย์เป็นสภาวะที่มีรูป (กาย, ลมหายใจ) และนาม (วิญญาณ, สัญญา, เวทนา, สังขาร) ซึ่งประสานกันและยึดโยงด้วยกรรม ทำให้จิตปรุงแต่งตามอารมณ์ เกิดเป็นความยึดถือในสิ่งไม่เที่ยง แปรปรวน จนเกิดกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ จึงจำเป็นที่เราต้องฝึกสมถะและวิปัสสนาเพื่อคลายความยึดถือในรูปนาม แม้แต่จิตก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จิตจะค่อยๆแยกตัวออกจากกิเลส จิตคลายความยึดถือ จะเป็นผู้พ้นจากความทุกข์คือนิพพานได้ในที่สุดเจริญสมถะ: ด้วยการเห็นลมหายใจเข้าออก เพื่อให้เกิดสัมมาสติ ในการระลึกถึงลมและสังเกตอาการของนามธรรมต่างๆ (ความคิด, ความหมายรู้, เวทนา, การปรุงแต่งทั้งทางกาย/ใจ)เจริญวิปัสสนา:ใช้ โยนิโสมนสิการ ในการแยกแยะและเห็นสภาวะของจิตว่า จิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)การทำเช่นนี้คือการนำอาสวะกิเลสออกจากจิต และตัดกิเลสเหล่านั้นได้ เป็นการเจริญอริยมรรคมีองค์แปด
46. มุนี ผู้อยู่กับปัจจุบัน [6846-2m]
53:13||Season 68, Ep. 46ท่านที่ยังติดอยู่กับอดีตหรือกังวลกับอนาคต จนทำให้ไม่มีความสุข, การจมอยู่กับเรื่องราวที่ล่วงไปแล้ว (อดีต) และการมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง (อนาคต) นั้น ทำให้จิตเพลิน ขาดสติ ดังนั้น ทางแก้คือ การมีสติ อยู่กับปัจจุบัน (สัมมาสติ) ฝึกสติให้ระลึกรู้และสังเกตสิ่งที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยไม่ปรุงแต่ง หรือเพลินไปตามอดีต/อนาคต ที่สำคัญ ต้องมีความเพียร มีสติอย่างต่อเนื่อง, "ทำความเพียรเสียแต่วันนี้" เจริญธรรมในปัจจุบันให้ "เนืองๆ ให้ปรุโปร่ง" จนเกิดความเคยชินใหม่ มีสติมั่นคงเหมือนเสาเขื่อน จะเกิดการเห็นแจ้งในธรรมปัจจุบัน นำไปสู่การเกิดกุศลธรรม สติ สมาธิ ปัญญา และเป็นหนทางสู่การระงับความทุกข์ (นิพพาน) ได้ชื่อว่าเป็น "ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ" (ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน)
45. จากรักของแม่ สู่ใจที่เป็นพรหม [6845-2m]
54:17||Season 68, Ep. 45ตั้งจิตตภาวนา เจริญพรหมวิหาร 4 ถวายเป็นพระราชกุศลน้อมถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง :เมตตา: ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขอย่างไม่มีเงื่อนไขกรุณา: ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ ไม่เบียดเบียนใครมุทิตา: ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีหรือพ้นทุกข์ (ช่วยกำจัดความริษยา)อุเบกขา: การวางเฉยอย่างมีสติ และต้องมาพร้อมกับเมตตา กรุณา มุทิตาตั้งไว้ที่ท่ามกลางอกแล้วแผ่ให้ตนเอง ผ่านไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกทิศทาง, จิตมีความสุข ปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น
44. มีปัญญา ปฏิบัติบูชา [6844-2m]
55:19||Season 68, Ep. 44ขณะที่เราเผชิญความพลัดพราก สูญเสีย ความโศกเศร้า เรามาร่วมปฏิบัติบูชา และเข้าใจความจริงให้เกิดปัญญา ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือน “เราจะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น”, ความทุกข์ใจจากการพลัดพราก นั้นเกิดจากความยึดถือ (อุปาทาน ตัณหา) ในสิ่งที่รักและไม่ต้องการสูญเสียหรือเปลี่ยนแปลง เราจึงต้องมี 1. ปัญญา คือ การเข้าใจว่าทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย (ความไม่เที่ยง) ซึ่งจะช่วยตัดความยึดถือ 2. มีสติ คือ การระลึกถึงความดีของผู้จากไปโดยปราศจากความยึดถือ (ต่างจากการยึดถือความดี), สติจะช่วยลดความเพลิน ลดอุปาทาน และเปลี่ยนความเศร้าโศกเสียใจด้วยการใส่สติเข้าไป คือสลดสังเวช ทำให้เกิดปัญญาเห็นความไม่เที่ยง ดับความยึดถือ ทำให้จิตคลายทุกข์ได้ และการบูชาสูงสุด คือการรีบทำความดี มีความเพียร ปฏิบัติบูชา อุทิศให้ผู้ที่จากไป เป็นการบูชาความดีของพระองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติบูชาที่ถูกต้องตามอริยมรรคมีองค์แปด เกิดปัญญาสูงสุดและเป็นบุญอันยิ่งใหญ่
43. ผู้พ้นบ่วงแห่งมาร [6843-2m]
57:36||Season 68, Ep. 43ธรรมชาติของจิตมัก "ส่งออก" ไปคิดเรื่องต่าง ๆ คล้าย "ลิง"โหนกิ่งไม้ไปมา หาก "เพลิน" ตามความคิด จะมีอารมณ์มาพร้อมกับความคิดนั้นๆเสมอ ถ้าไม่มีสติ จะเกิดการเกลือกกลั้ว นำไปสู่กิเลส ความเศร้าหมอง ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้จิตขึ้นลงตามอารมณ์และตกอยู่ในบ่วงของมารการฝึกสติจึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรอดพ้นบ่วงของมาร สติคือการระลึกรู้อยู่ที่ "ลมหายใจ" เป็นหลัก (เป็นที่เกาะ ที่จับ หรือเสา) สติจะทำหน้าที่แยกแยะส่วนประกอบต่าง ๆ ในใจ และ "รักษาจิต" ไม่เผลอเพลินไปตามอารมณ์ที่ติดมากับสิ่งนั้น โดยมีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องฝึกสติเมื่อมีสติรักษาจิต จะทำให้จิตไม่เข้าไปเกลือกกลั้วในอารมณ์ที่มากับผัสสะ ทำให้ไม่เกิดราคะ โทสะ โมหะ จิตจะไม่เศร้าหมอง และเมื่อควบคุมจิตได้ จะสามารถรอดพ้นจากบ่วงของมารได้ในที่สุด