Share

cover art for ส่งความสุขด้วยพุทธคุณ๙ [6801-2m]

2 จิตตวิเวก

ส่งความสุขด้วยพุทธคุณ๙ [6801-2m]

Season 68, Ep. 1

ส่งความสุขโดยตั้งจิตระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เพื่อรับกระแสความเมตตา กรุณา ปัญญา ให้เข้าไปถึงจิต ให้จิตชุ่ม อิ่มเอิบ ยินดี กับพุทธคุณเก้า

  1. เป็นผู้ไกลจากกิเลส 
  2. ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง 
  3. ถึงพร้อมด้วยความรู้และข้อปฏิบัติในการไปถึงความรู้นั้น 
  4. เสด็จไปดีแล้ว 
  5. เป็นผู้รู้แจ้งโลกทุกอย่างแจ่มแจ้ง 
  6. ฝึกทุกท่าน ไม่มียกเว้น ให้บรรลุธรรม ไกลกิเลส 
  7. เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ 
  8. เป็นผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน 
  9. เป็นภควา จำแนกสัตว์ สั่งสอนธรรม ได้อย่างแจ่มแจ้ง


ทั้งหมดรวมลงอยู่ในพุทโธ มั่นใจลงใจ ปฏิบัติให้เป็นอนุพุทโธ, ตั้งพุทโธตลอดเวลาเพื่อส่งความสุขตลอดปี

More episodes

View all episodes

  • 13. น้อมจิตตริตรึกทางกุศล [6813-2m]

    55:54||Season 68, Ep. 13
    เราตริตรึกคิดนึกไปทางไหน สิ่งนั้นจะมีกำลัง เราจึงต้องมีสติอยู่กับพุทโธ มีกัลยาณมิตร กัลยาณธรรมเพื่อให้จิต อยู่กับกุศลธรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ อกุศลลดน้อยลง กุศลธรรมเพิ่มขึ้นๆ ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ในตัวเรา จากคนไม่ดี กลายเป็นคนดี, คนไม่มีปัญญา กลายเป็นคนมีปัญญา, จิตน้อมมาทางธรรม ทางมรรคมีองค์แปด มากขึ้นๆเรื่อย จนถึงที่หมายคือนิพพานได้ จากการที่เราตริตรึกในพุทโธ ในกุศลตลอดเวลา
  • 12. พุทโธแสงสว่างที่ทำให้พัฒนา [6812-2m]

    58:38||Season 68, Ep. 12
    เจริญพุทธานุสติ เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ว่าเราโชคดีมาก ที่มีโอกาสได้สามสิ่งนี้ คือ 1.การมีพระพุทธเจ้า อุบัติเกิดขึ้นบนโลก 2.การมีคำสอนของพระพุทธเจ้าและยังคงอยู่ 3.การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา ถือเป็นความสว่างอย่างใหญ่หลวง ที่พระพุทธเจ้าสร้างแนวทางในการปฏิบัติ คือ มรรค ให้เราเดินทางเพื่อพัฒนาตัวเอง ให้เกิดแสงสว่างส่องเข้าไปในตัวเรา มีสติ ไม่หลง ไม่เพลิน จึงไม่มีอุปาทาน เกิดปีติ ปราโมทย์ จิตนุ่มนวล อ่อนเหมาะควรแก่การงานพัฒนายิ่งๆขึ้นไป ให้เราตั้งศรัทธาในพระพุทธเจ้า
  • 11. พิจารณาความจริง [6811-2m]

    59:54||Season 68, Ep. 11
    พิจารณากาย เพื่อให้เห็นตามความจริงว่า ตัวเราประกอบด้วยขันธ์ทั้งห้า, รูป 1 คือกายเราเกิดจากธาตุสี่(ดิน น้ำ ลม ไฟ), นาม 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, โดยมีวิญญาณ(การรับรู้) เป็นตัวเชื่อม รูป-นาม, เกิดสังขาร(ปรุงแต่ง)การรับรู้นั้น, แล้วเกิดเวทนาความพอใจ หรือ ไม่พอใจ, แล้วยึดมั่น ถือมั่น(อุปาทาน)นความเพลิน พอใจ ไม่พอใจนั้น, เกิดตัวตนว่าตนพอใจ ตนไม่พอใจขึ้นมา, เกิดสภาวะ(ภพ) เกิดชาติ เกิดเป็นกระแส เกิด-ดับ เกิด-ดับ ต่อเนื่อง ตลอดเวลา, จิตจึงมีการสะสมตามความเพลินพอใจ ตามอุปาทานที่สะสม สะสมเป็นอาสวะ เกิดเป็นจิตขึ้นมา, จิตคืออาสวะ, พิจารณากายด้วยจิตที่เป็นสมาธิแล้วแยกกายเป็นส่วนหนัง ส่วนเนื้อ อวัยวะ กระดูก เอ็น เลือด ส่วนต่างๆออก จะเห็นว่าไม่มีตัวตนในเรา ไม่มีเราในกายนี้, แม้จิตก็ไม่ใช่ของเราเป็นเพียงการสะสมของอาสวะ, เห็นตามความเป็นจริงแบบนี้ต่อเนื่องๆ จะเข้าถึงความดับเย็นคือนิพพานได้. 
  • 10. ยกระดับจิตด้วยสัมมาสมาธิ [6810-2m]

    01:02:04||Season 68, Ep. 10
    การจะทำให้เกิดวิชชาคือความรู้ได้ ต้องเริ่มจากการมีสัมมาทิฏฐิ เพื่อพัฒนาจาก อวิชชาที่เป็นส่วนบาป ให้เป็นอวิชชาที่เป็นส่วนบุญ คือให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม มีสติ นั่นคือเกิดสัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาสติ แล้ว จากนั้นพัฒนาต่อจากอวิชชาที่เป็นส่วนของบุญ ให้เป็นอวิชชาที่เหนือบุญเหนือบาปหรืออาเนญชะ โดยผ่านสัมมาสมาธิ และสัมมาวายามะ ทำอย่างต่อเนื่องๆ,สัญญา(ความจำได้หมายรู้) จะเปลี่ยนเป็น ญาณ เกิดญาณสามอย่างคือ 1. สัจจญาณ คือรู้อริยสัจสี่: รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค 2. กิจจญาณ คือรู้กิจที่ควรทำในอริยสัจสี่: รอบรู้ทุกข์, ละตัณหา, ทำให้แจ้งในนิโรธ, ทำให้เจริญในมรรค   3. กตญาณ คือ รอบรู้ทุกข์ได้แล้ว ละตัณหาได้แล้ว ทำให้แจ้งในนิโรธได้แล้ว ทำให้เจริญในมรรคได้แล้ว   นั่นคือถึงที่หมายคือนิพพานแล้ว ด้วยสัมมาสมาธิที่มีกำลัง.
  • 9. ความสุขสี่ระดับ [6809-2m]

    54:55||Season 68, Ep. 9
    พัฒนาจิตด้วยปัญญา เพิ่มทีละขั้นๆ ด้วยการเห็นโทษ ของฌานสมาธิขั้นที่ได้ และเห็นประโยชน์ของฌานสมาธิขั้นที่สูงกว่า ทำซ้ำ ๆ โดยเริ่มจาก ฌานที่หนึ่ง ปฐมฌาน จิตสงบ จิต สติ ลมหายใจอยู่ด้วยกันเกิด สมาธิ มีวิตก วิจาร ปีติ สุขจากสมาธิ ละกาม-พยาบาท-เบียดเบียนฌานที่สอง ทุติยฌาน จิตละเอียด เหลือแต่ปีติ สุข ละวิตก วิจารดับฌานที่สาม ตติยฌาน จิตละเอียดยิ่งขึ้น เกิดอุเบกขา และสุขจากอุเบกขานั้นฌานที่สี่ จตุตถฌาน จิตละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้นไปเกิดอุเบกขาโดยไม่มีเวทนาใด ๆ 
  • 8. ฝึกคิดให้เป็นสติสัมปชัญญะ [6808-2m]

    57:23||Season 68, Ep. 8
    ฝึกสติ ตั้งสัมปชัญญะในความคิด โดย นึกถืง ธัมโมไว้ตลอดทุกสถาณการณ์ สถาณการณ์ 1 : ฝึกจิตของเราให้คิดก่อนโดย ให้เราวิตก ตริตรึก(คือความคิดนึก) ถึงการเดินทางใดๆของเรา อาจมีสังกัปปะ และวิตก เกิดขึ้น แต่เรามีธัมโมตลอด นี่คือเกิดสติขั้นพื้นฐานสถาณการณ์ 2 : หยุดคิดเรื่องการเดินทาง จิตอยู่กับธัมโม เพื่อฝึกแยกแยะความแตกต่างระหว่าง สังกัปปะหรือดำริ (คือความคิดที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นมาเอง) และ วิตก(คือความคิดนึกตริตรึกที่เราน้อมไปคิด) ไม่ให้ไปคิดนึกตริตรึก ในสังกัปปะที่เกิดขึ้น ฝึกสติเพิ่มขึ้นสถาณการณ์ 3 : นึกถึงตู้พระไตรปิฎก คือวิตก, นึกต่อให้มีรายละเอียดคือวิจาร(ความตรอง) ของตู้พระไตรปิฎก จิตยังอยู่กับธัมโมตลอด อาจมีความคิดหลายๆอย่างแทรกเข้ามาคือสังกัปปะ และมีวิตก วิจาร แต่จิตยังอยู่กับธัมโม นั่นคือสติมีกำลังเพิ่มแล้ว เพราะมีจุดที่จิตเรากระจายไปในวิตก-วิจาร-สังกัปปะ และแบบไม่มีวิตก-วิจาร-สังกัปปะ แต่ยังมีสติ นี่คือฝึกสติ-สัมปชัญญะ สถาณการณ์ 4 : นึกถึงตอนเราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า สติไม่ลืมธัมโม จิตจดจ่อลงไปในการกราบท่าน ตริตรึก(วิตก) วิจาร, จิตจดจ่อ ไม่กระจายไปคิดเรื่องอื่น สติมีกำลังขึ้น เกิดปีติ สุข แล้วเก็บความรู้สึกเฉพาะปีติ สุขไว้อย่างเดียว นั่นคือ จิตเป็นอารมณ์อันเดียว นั่นคือเป็นสมาธิ จากสติที่มีกำลัง
  • 7. เจริญอุเบกขาด้วยปัญญา [6807-2m]

    01:00:15||Season 68, Ep. 7
    อุเบกขา 3 ระดับ เพื่อการปฏิบัติ ทำซ้ำๆ ให้เกิดปัญญา เพิ่มขึ้นๆ อย่างต่อเนื่อง จนหลุดพ้นได้1.   อุเบกขาที่เนื่องด้วย “อามิส” คือ อุเบกขาที่เอากามมาล่อ เพื่อให้มีอุเบกขา เช่น ทานของอร่อย ฟังเพลงแล้วจิตใจสงบ 2.   อุเบกขาที่เนื่องด้วย “นิรามิส” คือ อุเบกขาที่เกิดจากสมาธิ ปิติ สุข จากในภายใน ไม่มีกามมาล่อ เกิดจากสติ สมาธิ จดจ่อแล้วเกิดปัญญาเห็นต้นเหตุของทุกข์ คือ ความพอใจ/ไม่พอใจในตนเอง แต่ยังมีตัวตน ว่าฉันมีอุเบกขา 3.   อุเบกขา ชนิด “นิรามิสที่ยิ่งกว่านิรามิส” คือ เห็นความไม่เที่ยงของอุเบกขา คลายอุเบกขา เกิดปัญญาขั้นสูงสุด ทำให้ เราละกำจัด ปล่อยวาง อาสวะทั้งหลายได้ คือ ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีเราในอุเบกขา อุเบกขาไม่มีในเรา
  • 6. การสำรวมอินทรีย์ [6806-2m]

    52:40||Season 68, Ep. 6
    อินทรีย์หมายถึง 1. ความเป็นใหญ่ของช่องทางทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 2. ความมีชีวิตมีสติ ป้องกันอกุศลเข้ามา 3. อินทรีย์ห้า (ความเป็นใหญ่ของจิต ที่จิตมีอำนาจ มีกำลังที่จะรู้ธรรมหลุดพ้น) การสำรวมอินทรีย์ สามารถแก้ต้นเหตุของพฤติกรรมต่างๆ เช่น อารมณ์ร้อน หงุดหงิด ซึมเศร้า โดยเริ่มจากการมีศีลห้าให้ครบเป็นปกติ และระวัง ไม่เผลอ สำรวม ให้มีสติ ไม่ให้เราเพลินพอใจ หรือ ไม่พอใจสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ป้องกัน บาป อกุศล ไม่ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะทางใจ ไม่เพ่งโทษผู้อื่นและตนเอง สำรวม ระวัง ทั้งทางใจ วาจา กาย, การสำรวมอินทรีย์ จิต จะมีสติ สมาธิ ทำให้เกิดปัญญา อินทรีย์ห้า(ศรัทธา ศีล สติ สมาธิ ปัญญา)เจริญได้นั่นเอง
  • 5. เร่งความเพียร จิตตั้งมั่น [6805-2m]

    57:37||Season 68, Ep. 5
    ตั้งสติ ให้จิตตั้งมั่นด้วยการเจริญพุทธานุสติ ประกอบ มรณานุสติ จิตน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้า ไม่อยู่แล้ว แต่ยังมีคำสอน เร่งความเพียร ให้มีสติ ตั้งจิตให้มีอารมณ์อันเดียว ทำได้ทุกเวลา ตั้งสติจดจ่อ ใน พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไว้ตลอดเวลา