Share
![cover art for คำสอนที่ทนต่อการเพ่งพิสูจน์ [6746-2m]](https://open-images.acast.com/shows/63760aac34970700111773f4/show-cover.jpg?height=750)
2 จิตตวิเวก
คำสอนที่ทนต่อการเพ่งพิสูจน์ [6746-2m]
Season 67, Ep. 46
•
เราจะศรัทธา ปฏิบัติตามสิ่งใด สิ่งนั้นต้องตรวจสอบได้ ต้องพ้นทุกข์ได้จริง โดยต้องประกอบด้วยมรรคมีองค์แปด ตลอดทางที่ดำเนินไป คือ มีศีล สมาธิ ปัญญา
เริ่มจาก มีศรัทธา พร้อมปัญญา ว่าสิ่งนั้นตรวจสอบได้ด้วยตนเอง เมื่อมั่นใจแล้ว ตั้งใจลงมือทำ ด้วยความเพียร มีสติ สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้น จะเห็นว่า ทุกๆสิ่ง ไม่เที่ยง มีเงื่อนไข
ปัจจัยเกิดขึ้น มีทุกข์ ไม่ควรยึดถือ
วาง ละ ทิ้งเสีย นั่นคือถึงที่หมายแล้ว.
<<timestamp >>
[00:00] ศรัทธาทำให้เกิด ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
[14:58] มรรคแปด ร่องรอยที่ตรวจสอบได้
[38:07] พิจารณาความไม่เที่ยง
[56:56] ไม่ยึดถือ ละ วาง
More episodes
View all episodes

46. มุนี ผู้อยู่กับปัจจุบัน [6846-2m]
53:13||Season 68, Ep. 46ท่านที่ยังติดอยู่กับอดีตหรือกังวลกับอนาคต จนทำให้ไม่มีความสุข, การจมอยู่กับเรื่องราวที่ล่วงไปแล้ว (อดีต) และการมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง (อนาคต) นั้น ทำให้จิตเพลิน ขาดสติ ดังนั้น ทางแก้คือ การมีสติ อยู่กับปัจจุบัน (สัมมาสติ) ฝึกสติให้ระลึกรู้และสังเกตสิ่งที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยไม่ปรุงแต่ง หรือเพลินไปตามอดีต/อนาคต ที่สำคัญ ต้องมีความเพียร มีสติอย่างต่อเนื่อง, "ทำความเพียรเสียแต่วันนี้" เจริญธรรมในปัจจุบันให้ "เนืองๆ ให้ปรุโปร่ง" จนเกิดความเคยชินใหม่ มีสติมั่นคงเหมือนเสาเขื่อน จะเกิดการเห็นแจ้งในธรรมปัจจุบัน นำไปสู่การเกิดกุศลธรรม สติ สมาธิ ปัญญา และเป็นหนทางสู่การระงับความทุกข์ (นิพพาน) ได้ชื่อว่าเป็น "ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ" (ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน)
45. จากรักของแม่ สู่ใจที่เป็นพรหม [6845-2m]
54:17||Season 68, Ep. 45ตั้งจิตตภาวนา เจริญพรหมวิหาร 4 ถวายเป็นพระราชกุศลน้อมถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง :เมตตา: ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขอย่างไม่มีเงื่อนไขกรุณา: ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ ไม่เบียดเบียนใครมุทิตา: ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีหรือพ้นทุกข์ (ช่วยกำจัดความริษยา)อุเบกขา: การวางเฉยอย่างมีสติ และต้องมาพร้อมกับเมตตา กรุณา มุทิตาตั้งไว้ที่ท่ามกลางอกแล้วแผ่ให้ตนเอง ผ่านไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกทิศทาง, จิตมีความสุข ปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น
44. มีปัญญา ปฏิบัติบูชา [6844-2m]
55:19||Season 68, Ep. 44ขณะที่เราเผชิญความพลัดพราก สูญเสีย ความโศกเศร้า เรามาร่วมปฏิบัติบูชา และเข้าใจความจริงให้เกิดปัญญา ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเตือน “เราจะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น”, ความทุกข์ใจจากการพลัดพราก นั้นเกิดจากความยึดถือ (อุปาทาน ตัณหา) ในสิ่งที่รักและไม่ต้องการสูญเสียหรือเปลี่ยนแปลง เราจึงต้องมี 1. ปัญญา คือ การเข้าใจว่าทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย (ความไม่เที่ยง) ซึ่งจะช่วยตัดความยึดถือ 2. มีสติ คือ การระลึกถึงความดีของผู้จากไปโดยปราศจากความยึดถือ (ต่างจากการยึดถือความดี), สติจะช่วยลดความเพลิน ลดอุปาทาน และเปลี่ยนความเศร้าโศกเสียใจด้วยการใส่สติเข้าไป คือสลดสังเวช ทำให้เกิดปัญญาเห็นความไม่เที่ยง ดับความยึดถือ ทำให้จิตคลายทุกข์ได้ และการบูชาสูงสุด คือการรีบทำความดี มีความเพียร ปฏิบัติบูชา อุทิศให้ผู้ที่จากไป เป็นการบูชาความดีของพระองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติบูชาที่ถูกต้องตามอริยมรรคมีองค์แปด เกิดปัญญาสูงสุดและเป็นบุญอันยิ่งใหญ่
43. ผู้พ้นบ่วงแห่งมาร [6843-2m]
57:36||Season 68, Ep. 43ธรรมชาติของจิตมัก "ส่งออก" ไปคิดเรื่องต่าง ๆ คล้าย "ลิง"โหนกิ่งไม้ไปมา หาก "เพลิน" ตามความคิด จะมีอารมณ์มาพร้อมกับความคิดนั้นๆเสมอ ถ้าไม่มีสติ จะเกิดการเกลือกกลั้ว นำไปสู่กิเลส ความเศร้าหมอง ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้จิตขึ้นลงตามอารมณ์และตกอยู่ในบ่วงของมารการฝึกสติจึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรอดพ้นบ่วงของมาร สติคือการระลึกรู้อยู่ที่ "ลมหายใจ" เป็นหลัก (เป็นที่เกาะ ที่จับ หรือเสา) สติจะทำหน้าที่แยกแยะส่วนประกอบต่าง ๆ ในใจ และ "รักษาจิต" ไม่เผลอเพลินไปตามอารมณ์ที่ติดมากับสิ่งนั้น โดยมีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องฝึกสติเมื่อมีสติรักษาจิต จะทำให้จิตไม่เข้าไปเกลือกกลั้วในอารมณ์ที่มากับผัสสะ ทำให้ไม่เกิดราคะ โทสะ โมหะ จิตจะไม่เศร้าหมอง และเมื่อควบคุมจิตได้ จะสามารถรอดพ้นจากบ่วงของมารได้ในที่สุด
42. แยกส่วนประกอบในช่องทางใจ [6842-2m]
59:04||Season 68, Ep. 42จิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนจะถูกครอบงำด้วยความเคยชิน เปรียบเหมือนสัตว์หกชนิดที่แล่นไปตามอารมณ์และผัสสะ (การกระทบ) และนำมานำมาซึ่งปัญหาและความทุกข์ หากแต่ เราฝึกฝนจิตให้ดีด้วยหลักการ: สัมมาสติ คือฝึกสติ เพื่อ แยกแยะ สิ่งที่มากระทบออกเป็น นาม รูป และวิญญาณ และให้ใช้ กุศลธรรม เป็นเกณฑ์ โดยให้ จดจ่อรู้ลม (ฌาน) แต่ รับรู้แต่ไม่ตามไป กับอารมณ์ รวมถึง เจริญ พรหมวิหาร (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) ผลจากการแยกแยะจิตด้วยสัมมาสติคือการเข้าถึง สมาธิ และเป็น จิตที่มีมรรคแปดเป็นองค์ประกอบ ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุข ความปลอดภัย ความสบาย และความ เกษม (ความหลุดพ้นจากความทุกข์)
41. มีสติ ทุกที่ ทุกเวลา [6841-2m]
58:48||Season 68, Ep. 41- สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง หมายถึงสติต้องมีในทุกที่ ทุกเวลา- สติมี 2 ประเภทคือ สัมมาสติ กิเลสลด กุศลเพิ่มมิจฉาสติ กิเลสเพิ่ม อกุศลเพิ่มการมีสติต้องมีทุกที่ทุกเวลาโดยเริ่มจากความเพียร การสังเกต รู้ตัวว่าจิตเรากำลังมีความฟุ้งซ่าน หรือ หดหู่ และเลือกใช้ธรรมะให้เหมาะสม สติจึงจำเป็นตลอดเวลา เพราะต้องปรับจิตให้เกิดสมดุล สติต้องรักษาอยู่ตลอด เปลี่ยนมิจฉาสติให้เป็นสัมมาสติ เกิดสมาธิ อุเบกขา ปีติ วิริยะ ธัมมวิจยะ เกิดปัญญา -สติ คือสติปัฏฐานสี่ ต้องมีตลอดเวลา-แตกต่างจากโพชฌงค์ ที่ต้องใช้ให้เหมาะสม ไม่ใช้ตลอดเวลา โดยแบ่งออกเป็น2กลุ่ม คือกลุ่มที่ 1 : ใช้ขณะที่จิตกำลังหดหู่ ซึมเศร้า ไม่ใช้ในขณะที่จิตที่ไม่สงบ จิตฟุ้งซ่าน เพราะยิ่งใส่ลม ใส่ฟืน ไฟก็จะยิ่งโหม ยิ่งฟุ้งซ่าน1.1 ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือการไตร่ตรองใคร่ครวญธรรมะ คิดตริตรึก ภายในและภายนอก1.2 วิริยสัมโพชฌงค์ คือ การเร่งความเพียรทางกายและทางจิต การถูกกระตุ้น1.3 ปีติสัมโพชฌงค์ คือ คนอิ่มเอิบใจ ความร่าเริงบันเทิงใจ ปิติมีสองแบบอามิสและนิรามิส กลุ่มที่ 2 : ใช้ขณะจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน ไม่ใช้ใน จิตที่หดหู่ไม่แช่มชื่น ซึมเศร้า จิตก็จะยิ่งแย่ เหมือนการโรยขี้เถ้าชุ่มน้ำลงไป ใส่ฟืนเปียก หญ้าเปียกลงไป ในไฟกองน้อยๆ 2.1 ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบระงับจากในภายใน ไม่ต้องมีวิตก วิจารณ์ -ความสงบระงับทางกาย -ความสงบระงับทางจิต2.2 สมาธิสัมโพชฌงค์ ความที่จิตเป็นหนึ่ง เป็นอารมณ์อันเดียว ในภายใน -มีวิตก วิจารณ์ คือแบบไม่มีอกุศล -ไม่มีวิตก วิจารณ์ ว่างๆ 2.3 อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สงบจนจิตตั้งมั่นเป็นอย่างดีจนจิตวางเฉยได้ แม้มีสิ่งมากระทบ ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง -วางเฉยจากภายนอก -วางเฉยจากในภายใน
40. การคว่ำลงของอวิชชา [6840-2m]
01:01:16||Season 68, Ep. 40อวิชชา (ความไม่รู้) เป็นปัญหาหลักและเป็นต้นตอของ เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ร่วมกับตัณหา กิเลส และอุปทาน โดยเฉพาะการ ไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4 และปฏิจจสมุปบาท อวิชชาปรากฏขึ้นตามปัจจัย และมีอาหารคือนิวรณ์ 5 (วิจิกิจฉา, ง่วงซึม, ฟุ้งซ่าน, โกรธ, พอใจ) ซึ่งเกิดจากการขาดสติและไม่สำรวมอินทรีย์ ทำให้หลงเข้าใจผิดว่าความทุกข์เป็นความสุข ต้องทำให้ วิชชา (ความรู้) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนา สมถะ คือการทำสมาธิเพื่อให้จิตมีกำลัง ส่วน วิปัสสนา คือการใช้กำลังจิตนั้นพิจารณาเห็นสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง ว่า ไม่เที่ยง เมื่อทำสมถะและวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง วิชชาเกิด อวิชชาค่อยๆดับลง เห็นทางออกจากวัฏสงสาร เกิดสัมมาทิฏฐิ มีความเพียร มีสติ และองค์มรรคแปดประการ ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น นำไปสู่การ ดับเย็นแห่งทุกข์ คือ นิพพาน ในที่สุด
39. การฝึกจิตอันข่มได้ยาก [6839-2m]
54:51||Season 68, Ep. 39ทำไมต้องฝึกจิตอันข่มได้ยาก เพราะจิตคือสภาวะที่สั่งสมได้ จิตทำหน้าที่ในการรับรู้, วิญญาณ(การรับรู้)คือกิริยาของจิต เป็นคนละอย่างกัน, จิตอยู่ตรงที่การรับรู้เกิด แต่จิตเป็นคนละอย่างกับการรับรู้ และด้วยความที่จิตไปเร็วมากและมักตกในอารมณ์ที่ไม่ดี จึงเกิดการรับรู้ วนเวียนอยู่ในราคะ โทสะ โมหะ เกิดทุกข์ตลอดเวลา จิตจึงเป็นสิ่งที่ข่มได้ยาก หากแต่การฝึกจิต ด้วยสติการสังเกต แยกแยะ “จิต การรับรู้ ความคิด(ธรรมารมณ์) ผ่านช่องทางใจ(มโน)” ว่าเป็นคนละอย่างกัน ให้แยกออกจากกัน เรียกว่าเห็นจิตในจิต ฝึกให้คล่อง จะเห็นความไม่เที่ยงของจิต เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ จิตก็ไม่ใช่เรา “จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้”
38. นัยยะแห่งธาตุหก [6838-2m]
55:27||Season 68, Ep. 38เรายึดมั่นในกาย ในความรู้สึก ว่าเป็นกายเรา เรารู้สึกอย่างนี้ มีเรา มีฉันตลอดเวลา จึงเกิดความทุกข์เพราะยึดมั่น หากแต่ความจริงคือกายและวิญญาณเป็นเพียงธาตุ รู้ด้วยความจริง เห็นด้วยปัญญาว่า ตัวเราเป็นเพียงธาตุทั้งหกที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต เกิดการรับรู้ ทุกอย่างทุกสิ่งไม่ใช่ตัวเรา คลายความยึดมั่นในตัวเราด้วยการเห็นความจริง เราจะคลายความทุกข์ได้