Share

cover art for หยุดจิตไว้กับสติ [6744-2m]

2 จิตตวิเวก

หยุดจิตไว้กับสติ [6744-2m]

Season 67, Ep. 44

“บางคนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ไปหาใครพูดกับใคร แต่เบียดเบียนคนอื่นได้ เบียดเบียนตัวเองได้ ตรงความคิดไง ตัวไม่ขยับแต่จิตมันขยับ”

หยุดจิตให้ได้ อย่าให้จิตไหลไปตามผัสสะ ควบคุมจิตไม่ให้คิดเรื่องต่างๆ ด้วยสติ ด้วยลมหายใจ

จิตสงบ ระงับ เกิดสัมมาสมาธิ, แล้วใช้ปัญญาพิจารณา จิต เดี๋ยวผ่องใส เดี๋ยวขุ่นมัว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตามเหตุการปรุงแต่ง

จะเห็น จิตก็ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา, วาง ละ จิตที่ไม่เที่ยงนั้น.

More episodes

View all episodes

  • 10. ยกระดับจิตด้วยสัมมาสมาธิ [6810-2m]

    01:02:04||Season 68, Ep. 10
    การจะทำให้เกิดวิชชาคือความรู้ได้ ต้องเริ่มจากการมีสัมมาทิฏฐิ เพื่อพัฒนาจาก อวิชชาที่เป็นส่วนบาป ให้เป็นอวิชชาที่เป็นส่วนบุญ คือให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม มีสติ นั่นคือเกิดสัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาสติ แล้ว จากนั้นพัฒนาต่อจากอวิชชาที่เป็นส่วนของบุญ ให้เป็นอวิชชาที่เหนือบุญเหนือบาปหรืออาเนญชะ โดยผ่านสัมมาสมาธิ และสัมมาวายามะ ทำอย่างต่อเนื่องๆ,สัญญา(ความจำได้หมายรู้) จะเปลี่ยนเป็น ญาณ เกิดญาณสามอย่างคือ 1. สัจจญาณ คือรู้อริยสัจสี่: รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค 2. กิจจญาณ คือรู้กิจที่ควรทำในอริยสัจสี่: รอบรู้ทุกข์, ละตัณหา, ทำให้แจ้งในนิโรธ, ทำให้เจริญในมรรค   3. กตญาณ คือ รอบรู้ทุกข์ได้แล้ว ละตัณหาได้แล้ว ทำให้แจ้งในนิโรธได้แล้ว ทำให้เจริญในมรรคได้แล้ว   นั่นคือถึงที่หมายคือนิพพานแล้ว ด้วยสัมมาสมาธิที่มีกำลัง.
  • 9. ความสุขสี่ระดับ [6809-2m]

    54:55||Season 68, Ep. 9
    พัฒนาจิตด้วยปัญญา เพิ่มทีละขั้นๆ ด้วยการเห็นโทษ ของฌานสมาธิขั้นที่ได้ และเห็นประโยชน์ของฌานสมาธิขั้นที่สูงกว่า ทำซ้ำ ๆ โดยเริ่มจาก ฌานที่หนึ่ง ปฐมฌาน จิตสงบ จิต สติ ลมหายใจอยู่ด้วยกันเกิด สมาธิ มีวิตก วิจาร ปีติ สุขจากสมาธิ ละกาม-พยาบาท-เบียดเบียนฌานที่สอง ทุติยฌาน จิตละเอียด เหลือแต่ปีติ สุข ละวิตก วิจารดับฌานที่สาม ตติยฌาน จิตละเอียดยิ่งขึ้น เกิดอุเบกขา และสุขจากอุเบกขานั้นฌานที่สี่ จตุตถฌาน จิตละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้นไปเกิดอุเบกขาโดยไม่มีเวทนาใด ๆ 
  • 8. ฝึกคิดให้เป็นสติสัมปชัญญะ [6808-2m]

    57:23||Season 68, Ep. 8
    ฝึกสติ ตั้งสัมปชัญญะในความคิด โดย นึกถืง ธัมโมไว้ตลอดทุกสถาณการณ์ สถาณการณ์ 1 : ฝึกจิตของเราให้คิดก่อนโดย ให้เราวิตก ตริตรึก(คือความคิดนึก) ถึงการเดินทางใดๆของเรา อาจมีสังกัปปะ และวิตก เกิดขึ้น แต่เรามีธัมโมตลอด นี่คือเกิดสติขั้นพื้นฐานสถาณการณ์ 2 : หยุดคิดเรื่องการเดินทาง จิตอยู่กับธัมโม เพื่อฝึกแยกแยะความแตกต่างระหว่าง สังกัปปะหรือดำริ (คือความคิดที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นมาเอง) และ วิตก(คือความคิดนึกตริตรึกที่เราน้อมไปคิด) ไม่ให้ไปคิดนึกตริตรึก ในสังกัปปะที่เกิดขึ้น ฝึกสติเพิ่มขึ้นสถาณการณ์ 3 : นึกถึงตู้พระไตรปิฎก คือวิตก, นึกต่อให้มีรายละเอียดคือวิจาร(ความตรอง) ของตู้พระไตรปิฎก จิตยังอยู่กับธัมโมตลอด อาจมีความคิดหลายๆอย่างแทรกเข้ามาคือสังกัปปะ และมีวิตก วิจาร แต่จิตยังอยู่กับธัมโม นั่นคือสติมีกำลังเพิ่มแล้ว เพราะมีจุดที่จิตเรากระจายไปในวิตก-วิจาร-สังกัปปะ และแบบไม่มีวิตก-วิจาร-สังกัปปะ แต่ยังมีสติ นี่คือฝึกสติ-สัมปชัญญะ สถาณการณ์ 4 : นึกถึงตอนเราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า สติไม่ลืมธัมโม จิตจดจ่อลงไปในการกราบท่าน ตริตรึก(วิตก) วิจาร, จิตจดจ่อ ไม่กระจายไปคิดเรื่องอื่น สติมีกำลังขึ้น เกิดปีติ สุข แล้วเก็บความรู้สึกเฉพาะปีติ สุขไว้อย่างเดียว นั่นคือ จิตเป็นอารมณ์อันเดียว นั่นคือเป็นสมาธิ จากสติที่มีกำลัง
  • 7. เจริญอุเบกขาด้วยปัญญา [6807-2m]

    01:00:15||Season 68, Ep. 7
    อุเบกขา 3 ระดับ เพื่อการปฏิบัติ ทำซ้ำๆ ให้เกิดปัญญา เพิ่มขึ้นๆ อย่างต่อเนื่อง จนหลุดพ้นได้1.   อุเบกขาที่เนื่องด้วย “อามิส” คือ อุเบกขาที่เอากามมาล่อ เพื่อให้มีอุเบกขา เช่น ทานของอร่อย ฟังเพลงแล้วจิตใจสงบ 2.   อุเบกขาที่เนื่องด้วย “นิรามิส” คือ อุเบกขาที่เกิดจากสมาธิ ปิติ สุข จากในภายใน ไม่มีกามมาล่อ เกิดจากสติ สมาธิ จดจ่อแล้วเกิดปัญญาเห็นต้นเหตุของทุกข์ คือ ความพอใจ/ไม่พอใจในตนเอง แต่ยังมีตัวตน ว่าฉันมีอุเบกขา 3.   อุเบกขา ชนิด “นิรามิสที่ยิ่งกว่านิรามิส” คือ เห็นความไม่เที่ยงของอุเบกขา คลายอุเบกขา เกิดปัญญาขั้นสูงสุด ทำให้ เราละกำจัด ปล่อยวาง อาสวะทั้งหลายได้ คือ ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีเราในอุเบกขา อุเบกขาไม่มีในเรา
  • 6. การสำรวมอินทรีย์ [6806-2m]

    52:40||Season 68, Ep. 6
    อินทรีย์หมายถึง 1. ความเป็นใหญ่ของช่องทางทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 2. ความมีชีวิตมีสติ ป้องกันอกุศลเข้ามา 3. อินทรีย์ห้า (ความเป็นใหญ่ของจิต ที่จิตมีอำนาจ มีกำลังที่จะรู้ธรรมหลุดพ้น) การสำรวมอินทรีย์ สามารถแก้ต้นเหตุของพฤติกรรมต่างๆ เช่น อารมณ์ร้อน หงุดหงิด ซึมเศร้า โดยเริ่มจากการมีศีลห้าให้ครบเป็นปกติ และระวัง ไม่เผลอ สำรวม ให้มีสติ ไม่ให้เราเพลินพอใจ หรือ ไม่พอใจสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ป้องกัน บาป อกุศล ไม่ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะทางใจ ไม่เพ่งโทษผู้อื่นและตนเอง สำรวม ระวัง ทั้งทางใจ วาจา กาย, การสำรวมอินทรีย์ จิต จะมีสติ สมาธิ ทำให้เกิดปัญญา อินทรีย์ห้า(ศรัทธา ศีล สติ สมาธิ ปัญญา)เจริญได้นั่นเอง
  • 5. เร่งความเพียร จิตตั้งมั่น [6805-2m]

    57:37||Season 68, Ep. 5
    ตั้งสติ ให้จิตตั้งมั่นด้วยการเจริญพุทธานุสติ ประกอบ มรณานุสติ จิตน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้า ไม่อยู่แล้ว แต่ยังมีคำสอน เร่งความเพียร ให้มีสติ ตั้งจิตให้มีอารมณ์อันเดียว ทำได้ทุกเวลา ตั้งสติจดจ่อ ใน พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไว้ตลอดเวลา
  • 4. ยสกุลบุตรตื่นด้วยกายคตาสติ [6804-2m]

    54:36||Season 68, Ep. 4
    การเห็นกายโดยความเป็นของสวยงาม จะทำให้ เพลิน ยินดี จึงยึดถือว่ากายเป็นของเรา เป็นตัวตน จึงต้องพิจารณากาย ให้เห็นว่า กายเป็นโทษ กายไม่สวยงาม จะช่วยละความยึดถือ เห็นกายว่าเป็นกองทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของเรา เห็นตามความเป็นจริง จิตตั้งมั่น พิจารณา จนเกิด ความเบื่อหน่าย คือนิพพิทา จะเกิดปัญญา คลายกำหนัด และปล่อยวางได้
  • 3. แยกความคิด วางแม้จิต [6803-2m]

    56:06||Season 68, Ep. 3
    ตั้งสติอยู่กับลมหายใจ เป็นผู้สังเกต ให้สติแยกแยะความคิด ผัสสะที่ผ่านเข้ามา จนจิตสงบ ระงับ, รักษาจิตด้วย สติ ปัญญา ความเพียร จะเห็นตามความเป็นจริงว่า จิตไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของเรา เห็นตามความเป็นจริง ว่าจิตเป็นเพียงกระแส เกิด ดับ ต่อเนื่องๆไป ควรแล้วหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่น ถ้าจิตไม่ใช่ของเรา แล้วเราควรทำอย่างไรกับจิต 
  • 2. ธรรมคุณหก [6802-2m]

    59:07||Season 68, Ep. 2
    ระลึกถึงคุณพระธรรมทั้งหก ธัมมานุสสติ เพื่อความเจริญของจิต๑.    สวากขาโต ภควตา ธัมโม คำสอนที่ท่านตรัสไว้ดีแล้ว คือ๑.๑ ปฏิบัติได้ทั้ง เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ๑.๒ เป็นเหตุและผล ถึงที่สุด ตรงถึงพระนิพพาน๑.๓ มีการกำหนดบทคำอธิบายที่จับต้องได้๑.๔ มีความบริสุทธิ์และบริบูรณ์ คือปริมาณมากพอ ให้ถึงนิพพานได้๒.    สันทิฏฐิโก รู้ได้เฉพาะตน ๓.    เอหิปัสสิโก สามารถตรวจสอบได้๔.    อกาลิโก ปฏิบัติได้ทุกเวลา ธรรมะยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง๕.    โอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่จิตตน บรรลุเป็นขั้นๆได้๖.    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ พึงรู้ พึงทำแต่สิ่งที่ดี และจักรู้ได้เฉพาะตน