Share

cover art for ยอดธงแห่งผู้ประพฤติธรรม [6706-2m]

2 จิตตวิเวก

ยอดธงแห่งผู้ประพฤติธรรม [6706-2m]

Season 67, Ep. 6

ฝึกปฏิบัติภาวนาด้วยการระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ปักเป็นยอดธงเอาไว้ และปราศจากวิจิกิจฉา สติห่อหุ้มจิตเป็นเยื่อบางๆ ไว้ ไม่แปดเปื้อนกับผัสสะ สติมีกำลัง ความระงับของอายตนะค่อยๆ เกิดขึ้น เกิดอารมณ์อันเดียวเพื่อให้จิตเราเจริญสติปัฏฐาน4 และพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ด้วยหนทางเครื่องไปทางเดียวคือ มรรค8 เกิดสัมมาสมาธิ

จิตจะเห็นตามความเป็นจริง ความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาด้วยปัญญาแทงตลอด ละกิเลส ละอาสวะ ทำนิพพานให้แจ้งได้

More episodes

View all episodes

  • 39. จินตนาการไปในพุทธะ [6739-2m]

    56:32||Season 67, Ep. 39
    รู้ลมแล้วจินตนาการไปในพุทธะ นึกถึงเหตุการณ์หลังการตรัสรู้ ครั้งที่สหัมบดีพรหมเกิดความร้อนใจ มานิมนต์ให้พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรม จินตนาการแล้วก็ไม่ลืมลม เป็นการเจริญทั้งพุทธานุสสติและอานาปานสติไปพร้อมกัน ทำให้เกิดความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ เดินไปตามทางอันประเสริฐ เส้นทางเดียวกับพระพุทธเจ้า เราเดินตามท่านไป ตริตรึกใคร่ครวญตามไป เกิดสัมมาสังกัปปะ บุคคลที่ทำเช่นนี้ถือว่ามีความเพียร ความสำเร็จผลตามพระพุทธเจ้าย่อมเกิดได้แน่นอน
  • 38. อกุศลวิตก เจ้าจงหยุด เจ้าจงถอยกลับ [6738-2m]

    01:01:12||Season 67, Ep. 38
    ก่อนปฏิบัติธรรมถอดหัวโขนทั้งทางกาย วาจา ใจ และเมื่อมีผัสสะมากระทบอายตนะ 6 รับรู้ได้อยู่คือวิญญาณทั้ง 6 ทั้งส่วนกายและใจ มีเครื่องทดสอบว่าจะกำหนดความคิดให้หลีกออกจากวิตกทั้งสาม คือกามวิตก พยาบาทวิตกและวิหิงสาวิตกได้หรือไม่ ถ้ามันจะเกิดขึ้นในช่องทางใจของเรา จงหยุด จงถอยกลับ ไม่เอาเข้าไป ต้องรู้จักใคร่ครวญแยกแยะให้เข้าได้เฉพาะกุศลธรรม จะแยกแยะได้ต้องมีสติสัมปชัญญะ คือการระลึกรู้นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านใช้อานาปานสติ พระเจ้ามหาสุทัสสนะท่านใช้พรหมวิหาร 4 ตั้งจิตน้อมไปทางนั้น สิ่งนั้นก็มีพลังมาหุ้ม นั่นคืออาสวะที่ประกอบด้วยส่วนแห่งบุญ ชำระอาสวะเก่า จิตสะอาดขึ้น เจริญสัมมาสติให้มาก ย่อมทำสัมมาสมาธิให้เกิดขึ้นได้ จะอยู่เหนือความคิดได้พิจารณาแยกแยะความคิด ดี/ไม่ดี เห็นคุณเห็นโทษ
  • 37. วิตกและสังกัปปะไปในพุทธานุสสติ [6737-2m]

    53:02||Season 67, Ep. 37
    สังกัปปะ กับ วิตก เป็นความคิดเหมือนกัน แต่มีธรรมชาติที่ต่างกัน คือถ้าเราต้องน้อมจิตเรียกว่าความคิดตริตรึกหรือวิตก แต่ถ้าความคิดโผล่ขึ้นมาเรียกความคิดนี้ว่าสังกัปปะหรือความดำริ ทั้ง 2 ประเภท มีทั้งคิดในทางกุศลหรือสัมมา และอกุศลหรือมิจฉา เราต้องฝึกตริตรึกไปในทางที่ละกาม พยาบาท และเบียดเบียน เพื่อให้เกิดความดำริหรือสังกัปปะที่เป็นกุศล นี่เป็นการทำงานร่วมกันของวิตกและสังกัปปะ ฝึกได้เริ่มจากวิตกสู่สังกัปปะโดยพุทธานุสสติ เราต้องน้อมจิตไปคิด นึกถึงพระพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์เดินข้ามแม่น้ำเนรัญชราถือหญ้าคาปูนั่งใต้ต้นโพธิ์ จิตแน่วแน่ในการที่จะบรรลุสัมมาโพธิญาณให้ได้ ตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ จิตเป็นสมาธิอยู่ตลอด ตริตรึกและดำริไปในญาณทั้งสาม แผ่เมตตาทั่วทุกทิศ ดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง ละอาสวะ รู้อริยสัจ 4 ขึ้นมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ให้เราคิดด้วยการนึกน้อมจิตไปในเรื่องของพระพุทธเจ้านี้ ให้สะสมจนเป็นสังกัปปะคือความดำริ ที่มันเกิดขึ้นได้เองเป็นธรรมชาติของจิตของเราเอาไว้อย่างนี้ให้ดี รักษาให้ได้ตลอดทั้งวัน
  • 36. ”มรณสติ“ ความตายที่ต้องทำความเข้าใจ [6736-2m]

    59:15||Season 67, Ep. 36
    ความตายจะเป็นจุดสูงสุดของความทุกข์ที่เราต้องเจอ ต้องเข้าหาระลึกถึงความตายอย่างถูกต้อง เตรียมตัวตาย โดยเข้าใจว่าความตายเกิดขึ้นกับตัวเราแน่ และให้ได้ประโยชน์จากความตาย คือเจริญมรณานุสติ จะเกิดอานิสงส์ใหญ่เป็นธรรมที่ลงสู่อมตะ คือความไม่ต้องตายอีก ทำได้โดยปล่อยวางในสิ่งของรักของหวงละความยึดถือตัวตนซึ่งเป็นแค่ธาตุทั้งสี่ละความอยากได้หลังความตายเอาอะไรไปไม่ได้ นอกจากความดี เร่งทำความดี พิจารณาบาปทั้ง 3 ช่อง ได้แก่ กาย วาจา และใจ โดยระลึกถึงบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง การที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เอากุศลธรรมขึ้นเป็นหลักก่อน ตั้งฉันทะไว้ตรงนี้ ไปให้ได้ด้วยความเพียรพยายาม สู้ด้วยสติสัมปชัญญะ สู้ไม่ถอยไม่เลิกไม่แพ้ ปฏิบัติตามมรรคแปด ทุกข์หายไปทันที กุศลธรรมเพิ่มขึ้น ละอาสวะได้ จะบรรลุจะเห็นได้ด้วยตนเอง
  • 35. การคิดพิจารณาปัจจัยสี่ [6735-2m]

    57:34||Season 67, Ep. 35
    คิดเป็นระบบด้วยการพิจารณาโดยอาศัยปัจจัย 4 เป็นพื้นฐาน เริ่มจากเครื่องนุ่งห่มให้พิจารณาว่าจะใส่เพื่ออะไร ดังนี้ ปะฏิสังขา โยนิโส จีวะรัง ปะฏิเสวามิ หมายถึงการพิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงนุ่งห่ม. ถัดไปเป็นอาหารพิจารณาเพื่อไม่ให้เกิดเวทนาใหม่หรือระงับเวทนาเก่า พินิจเพ่งจดจ่อ มีสติ ไม่เผลอเพลิน ไม่ยึดติดเกิดความหวงปัจจัยที่ 3 คือ เสนาสนะ พิจารณาการเข้าสู่เสนาสนะ หรือออกจากเสนาสนะด้วยสติสัมปชัญญะ ต่อไปเรื่องของปัจจัยเภสัชบริขารสำหรับคนป่วย จะใช้ยาหรือสิ่งของอะไรต้องพิจารณามีสติมีสมาธิ นั่นเป็นธรรมะโอสถไปในตัว เพื่อที่จะระงับทุกขเวทนา การมีเงื่อนไขเยอะ จะอยู่ยาก แต่หากเงื่อนไขแห่งความสุขน้อย สุขยิ่งมากเพราะจะทุกข์น้อยเกิดปัญญาด้วยการคิดที่เป็นระบบนั้นคือการโยนิโสมนสิการ หมายถึงการทำในใจ โดยแยกกายเห็นโดยความเป็นธาตุ เป็นปฏิกูล เกิดปัญญา สิ่งที่เป็นอกุศลธรรมลดลง ความยึดถือทั้งหลายลดลง ปล่อยวาง เจริญก้าวหน้าในธรรมะของพระพุทธเจ้ายิ่งๆขึ้นไป
  • 34. คิดให้เป็นขณิกสมาธิ [6734-2m]

    55:03||Season 67, Ep. 34
    คิดให้เป็นขณิกสมาธิด้วยการระลึกถึงพุทธประวัติ โดยจินตนาการเป็นภาพพระโพธิสัตว์ทำความเพียรไล่ตั้งแต่จากดงคสิริสู่ริมแม่น้ำเนรัญชรา ความระลึกได้ถึงความสงบที่เคยพบครั้งเป็นเด็กที่เกิดจากการวิเวกกายวิเวกจิตจนเกิดปิติสุข จึงพบทางสายกลาง เพราะคิดจึงรู้ ตัวเราเองคิดนึกตามจนสามารถเกิดปิติสุขมีความสบายใจแบบนั้นได้หรือไม่ สามารถพยากรณ์วาระจิตตนได้หรือไม่ ถ้าได้จึงจะถือว่าขณิกสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิได้เกิดขึ้นแล้ว ควรทำให้ชำนาญ เพื่อเป็นฐานในการค้นพบเส้นทางแห่งการตรัสรู้เช่นพุทธะต่อไป
  • 33. ธรรมะบทแรกของพระพุทธเจ้า [6733-2m]

    59:45||Season 67, Ep. 33
    ธรรมะบทแรก ‘ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร’ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นปฐมเทศนากับภิกษุปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ท่านทรงสอนไว้อย่างไรใคร่ครวญธรรมในธรรมในคำสอนของ ‘พุทธะ’ ว่าอะไรคือหลักคำสอนที่มีความสำคัญสูงสุด เป็นความจริงอันประเสริฐ อะไรคือสิ่งที่แล่นไปดิ่งไปสุดโต่ง 2 อย่างที่ไม่ควรข้องแวะ อะไรคือขั้นตอนกระบวนการปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง ที่เมื่อทำกิจแต่ละข้อ ใน ‘อริยสัจ’ ได้แล้ว จะมีความรู้ยิ่ง อยู่เหนือจากความทุกข์ทั้งมวลได้
  • 32. พิจารณานามรูปตามระบบที่ถูกต้อง [6732-2m]

    59:21||Season 67, Ep. 32
    พิจารณานามรูปตามระบบแห่งความเห็นที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดปัญญา มี 7ประการ ดังนี้ประการที่ 1 นามคือความรู้สึกที่เรารับรู้ทางวิญญาณได้ รูปคือธาตุ4ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟและลมประการที่ 2 นามรูป มีเหตุเกิดจากวิญญาณ ซึ่งมาจากการมีสฬายตนะประการที่ 3 ความดับของนามรูปคือ ต้องดับวิญญาณประการที่ 4 องค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง เป็นหนทางปฏิบัติให้ถึงความดับของนามรูป เปรียบได้ระบบของอริยสัจ 4 คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จึงเป็นระบบคิดที่จะเป็นการใคร่ครวญโดยแยบคาย ให้เกิดปัญญาประการที่ 5 ประโยชน์จากนามรูป ทำให้เกิดสุขโสมนัสประการที่ 6 โทษของนามรูปคือความไม่เที่ยง ทำให้เราเป็นทุกข์ประการที่ 7 นิสสรณะเป็นอุบายออกจากนามรูป คือนำออกซึ่งความกำหนัดยินดีพอใจในนามรูป โดยการปฏิบัติตามมรรค 8 พิจารณาด้วยความคิดที่เป็นระบบ ในธรรมะทั้ง7ประการ ปัญญาเกิด ปล่อยวางได้ อยู่กับทุกข์แบบสุข
  • 31. “ตื่นท่ามกลางผู้หลับ หลับท่ามกลางผู้ตื่น"[6731-2m]

    59:13||Season 67, Ep. 31
    บุคคลที่มีการสำรวมระวังนี้ได้ชื่อว่า ไม่ประมาท ตื่นอยู่ เริ่มต้นด้วยการตั้งสติตามทางสติปัฏฐาน4 โดยใช้พุทโธเป็นเครื่องมือให้เกิดสติ เรียกว่าเจริญพุทธานุสติ แต่ยังมีความคิดนึกผ่านทางช่องทางใจ ดังนั้นต้องมีการสำรวมระวังจากสติที่ตั้งขึ้น จิตสงบระงับลง ปรุงแต่งทางกายวาจาใจเบาบางลง ราคาโทสะโมหะระงับลง แม้คำว่าพุทโธก็หายไป เหลือแต่จิตที่อยู่กับธรรมารมณ์ในที่นี้คือสติ จิตอยู่ตรงไหนสติก็อยู่ตรงนั้น สติอยู่ตรงไหนจิตก็อยู่ตรงนั้น สติจึงรักษาจิตด้วยการสำรวมระวัง บุคคลที่มีสติตั้งมั่นแบบนี้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตื่นอยู่ ไปตามสายเส้นทางที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง ทำให้รู้ถึงความตื่นอยู่เป็นขั้นๆ มีการพัฒนาทางจิตวิญญาณ มีการพัฒนาทางปัญญา เห็นความไม่เที่ยงของจิต จึงปล่อยวางได้<< Timestamp >>[00:01]: ฝึกจิตด้วยสัญญมะและทมะเหมือนการฝึกสัตว์[13:52]: เป็นผู้ตื่นอยู่ด้วยพุทโธ[23:46]: สติรักษาจิต ด้วยการสำรวมระวัง และการข่มใจ[42:33]: หลับอย่างตื่นรู้ สู่การตื่นอย่างไม่หลับ[51:06]: ใช้ปัญญาเห็นความไม่เที่ยงของจิต จึงปล่อยวางได้