Share
![cover art for “กรรม” ตอนที่3 (จบ) [6811-3d]](https://open-images.acast.com/shows/63760a658c890a00102a0b39/show-cover.jpg?height=750)
3 ใต้ร่มโพธิบท
“กรรม” ตอนที่3 (จบ) [6811-3d]
กรรม คือ เจตนาที่มีการปรุงแต่ง (สังขาร) ออกไปทางกาย วาจา ใจ เมื่อมีการปรุงแต่งกระทำออกไปแล้ว ย่อมมีผลหรือมีวิบากของกรรมนั้นอย่างแน่นอน
เรื่องของกรรมเป็น “อจินไตย” คือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด เพราะถ้าคิดแล้วอาจจะทำให้เป็นบ้าได้ ในที่นี้หมายถึง เป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน (ตามนัยยะ อจินติตสูตร) ตราบใดที่เมื่อยังมีการปรุงแต่งกรรมอยู่ การให้ผล (วิบาก) ของกรรมนั้น ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยของกรรมนั้นเสมอ ผลของกรรมจึงมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ความคิดที่ว่า “ผลของกรรม เกิดจากรรมเก่าอย่างเดียวเท่านั้น” ความคิดอย่างนี้ยังไม่ถูกต้อง เพราะผลของกรรมไม่ได้เกิดจากกรรมเก่าอย่างเดียว แต่อาจเกิดขึ้นจากการปรุงแต่งของสังขารนาม-รูปในปัจจุบัน (ตามนัยยะ 8 อย่างใน สีวกสูตร)
ประเภทผลของกรรม แบ่งออกเป็น 4 หมวด แต่ละหมวดแยกเป็น 4 ประเภท (รวม 16 ประเภท)
1. แบ่งโดยหน้าที่ คือ กรรมที่ให้ไปเกิด (ยังวิบากให้เกิดขึ้น-มีสภาวะการเกิด) / อุปถัมภ์สนับสนุนให้กรรมนั้นมีพลังมากยิ่งขึ้น / เบียดเบียนกรรมนั้นให้อ่อนกำลังลง / ตัดรอนกรรมนั้นไม่ให้ส่งผล
2. แบ่งตามลำดับการให้ผล คือ ให้ผลในลำดับแรกก่อน / ให้ผลเวลาใกล้ตาย / กรรมที่กระทำบ่อยๆ สั่งสมไว้ ให้ผลในชาติต่อมา / กรรมที่ผู้กระทำไม่มีเจตนา แต่ย่อมให้ผล (ในห้วงของสังสารวัฏ)
3. แบ่งตามเวลา คือ ให้ผลรวดเร็วปัจจุบันทันด่วน / ให้ผลในชาติหน้า / ให้ผลในชาติต่อๆ มา / ไม่มีโอกาสให้ผล
4. แบ่งตามฐานะการให้ผล คือ ให้ผลไปเกิดในอบายภูมิ / สุคติภูมิ / รูปพรหม / อรูปพรหม
ฟัง “เรื่องของ “กรรม” (ตอนที่ 2)-กรรมเป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ”
Time stamp 6811-3d:
(00:32) ปฏิบัติภาวนา เจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
(12:25) เรื่องของ “กรรม” ตอนที่ 3
(15:45) เรื่องของกรรมเป็น “อจินไตย”
(21:51) ทำกรรมอย่างไร ได้ผลของกรรมอย่างนั้น
(26:54) สิวกสูตร ว่าด้วยสีวกปริพาชก
(34:09) ประเภทของกรรม แบ่งเป็น 4 หมวด (รวม 16 ประเภท)
(37:11) กรรมแบ่งตามหน้าที่ของกรรม
(45:44) กรรมแบ่งตามเวลา
(48:39) กรรมแบ่งตามลำดับการให้ผล
(52:39) กรรมแบ่งตามฐานะการให้ผล
More episodes
View all episodes

52. ความเบาใจ 4 ประการ [6852-3d]
58:16||Season 68, Ep. 52ความเบาใจ คือ ความสบายใจ ความไม่หนักใจ สิ่งที่ตรงข้ามกับความเบาใจคือความหนักใจ กลุ้มใจ เครียด วุ่นวายใจ เหตุแห่งความหนักใจนั้นมีหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ภาระหน้าที่ โรคภัยไข้เจ็บ และผัสสะต่างๆความเบาใจ 4 ประการที่จะกล่าวถึงในดอนนี้แยกไว้ 3 นัยยะคือนัยยะที่ 1 มาในพระสูตรคิลายนสูตรนำไปใช้ในลักษณะที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วย พูดถึงเรื่องพระพุทธ พระธรรม และศีล คือการมีศรัทธาที่มั่นคงในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างไม่หวั่นไหวและมีศีลที่ไม่ทะลุ ไม่ด่างไม่พร้อย เมื่อใช้หลัก 4 ประการนี้เป็นที่พึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความเบาใจนัยยะที่ 2 กุศลกรรมบถ 10 และ อกุศลกรรมบถ 10 ทำให้เกิด พรหมวิหาร 4 คือให้เป็นผู้มีกุศลกรรมบถ 10 อย่าง และเป็นผู้ละอกุศลกรรมบถ 10 อย่าง จะส่งผลให้เป็นผู้ตั้งอยู่ในความเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา เมื่อเป็นผู้ที่ตั้งพรหมวิหาร 4 ไว้ในใจก็จะเป็นเหตุให้เกิดความเบาใจขึ้นมาได้นัยยะที่ 3 อราคะ อโทสะ อโมหะ ทำให้เกิด พรหมวิหาร 4 คือเมื่อเป็นผู้ไม่มีราคะ โทสะ โมหะจะส่งผลให้เป็นผู้ตั้งอยู่ในความเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขาได้ เมื่อเป็นผู้ที่ตั้งพรหมวิหาร 4 ไว้ในใจก็จะเป็นเหตุให้เกิดความเบาใจขึ้นมาได้
51. ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ [6851-3d]
53:38||Season 68, Ep. 51ธรรมของสัตบุรุษมี สัทธรรม 3 อย่างคือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธปริยัติ คือการศึกษาเล่าเรียนในระบบคำสอนที่เรารวบรวมมาโดยรอบแล้วนั่นคือคำสอนของพระศาสดามีองค์ 9 (นวังคสัตถุศาสน์)ได้แก่ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูติธรรม เวทัลละปริยัติแบ่งตามรูปแบบการศึกษาได้ 3 อย่างดังนี้1.อลคัททูปริยัติ การศึกษาแบบเป็นงูพิษคือศึกษาธรรมเพื่อลาภสักการะ เพื่อข่มผู้อื่น2.นิสสรณัตถปริยัติ การศึกษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการออกไปจากทุกข์ คือศึกษาเจาะจงลงไปในเรื่องที่จะออกจากทุกข์ได้3.ภัณฑาคาริกปริยัติ การศึกษาแบบขุนคลังคือการศึกษาเพื่อที่จะเก็บรักษาองค์ความรู้เหล่านั้นไม่ให้เสื่อมสูญไปปฏิบัติ คือ นำความรู้มาลงมือทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างที่ต้องการ การลงมือทำนั้นต้องไม่ยกตนข่มผู้อื่น การปฏิบัตินั้นมีได้หลายรูปแบบ การปฏิบัติต้องถูกต้องกับสิ่งนั้นๆปฏิเวธ คือการรู้ธรรมเป็นขั้นๆไป รู้ว่าธรรมนี้เป็นอย่างนี้ รู้แทงตลอดในธรรมเป็นขั้นเป็นขั้นขึ้นไป ในส่วนของปฏิเวธนี้ก็จะหมายถึงการบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งด้วย
50. รู้ด้วยปัญญาญาณ [6850-3d]
56:17||Season 68, Ep. 50“รู้แต่ไม่รู้ คนที่จะถึงจึงรู้" นำอุปมาอุปไมยมาอธิบายธรรมะ ทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยจัดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้- กลุ่มแรก นำอุปมา 5 นัยยะ คือ เมฆ หนู หม้อ ห้วงน้ำ และมะม่วง มาใช้อธิบายเพื่อความเข้าใจในองค์ธรรม 3 ส่วน แบ่งเป็น สังเกตจากภายนอก 2 ส่วน คือจากการเรียนหรือไม่เรียน เรียนสูงหรือไม่สูง เป็นการรู้จากความจำ และความน่าเลื่อมใสหรือไม่น่าเลื่อมใส นำมาเปรียบกับอุปมาข้างต้น เช่น เมฆมีเสียงหรือไม่มีเสียง หนูขุดรูแต่ไม่อยู่ ห้วงน้ำลึกหรือตื้น เป็นต้น จากส่วนที่เป็นภายใน 1 ส่วน เป็นการรู้ด้วยปัญญาญาณ รู้แจ้งในภายใน มีความรู้ในอริยสัจสี่ เป็นอริยบุคคลที่พัฒนามาตามลำดับ คนที่ถึงแล้วจึงรู้ มีการนำไปโยงกับอุปมาในส่วนที่สังเกตจากภายนอก เช่น หม้อที่เต็มและปิดฝาคือบุคคลที่รู้อริยสัจมีความน่าเลื่อมใส ห้วงน้ำตื้นมีเงาตื้น คือบุคคลที่ไม่รู้อริยสัจทั้งยังไม่น่าเลื่อมใส เป็นต้นจากการเชื่อมอุปมาเหล่านี้กับองค์ธรรมทั้งสามเข้าด้วยกันทำให้เราไม่อาจสรุปว่าไม่เรียนคือไม่รู้ อย่าเหมา เพราะเมฆอาจจะรอคำรามหรือฝนรอตกอยู่ คนที่กำลังบรรลุธรรมหรือบรรลุธรรมแล้วท่านจึงจัดไว้ด้วยกันเนื่องจากมาตามทาง อย่างไรก็ถึงจุดหมาย จะรู้ประมาณว่ามากหรือน้อย สัดส่วนเป็นเท่าใด มองได้ครอบคลุม ไม่ด่วนตัดสิน-ในกลุ่มที่สองใช้อุปมาของวัวที่ข่มเหงหรือไม่ข่มเหงฝูงตนฝูงอื่นหรือทั้งสอง ต้นไม้เป็นไม้เนื้อแข็งหรืออ่อนคือคนมีศีลหรือทุศีลอยู่ร่วมกัน อสรพิษคือความโกรธมีพิษแล่นหรือไม่แล่น พิษร้ายหรือไม่มีพิษ การอุปมาในข้อนี้จะช่วยให้เข้าใจในกลุ่มแรกมากขึ้น
49. กามโภคีบุคคล: บุคคลผู้บริโภคกาม [6849-3d]
58:04||Season 68, Ep. 49กามโภคีบุคคล:บุคคลผู้บริโภคกามเป็นผู้ที่ยังอยู่ในกระแสโลก และเป็นผู้ที่ถูกแบบคั้นด้วยกามเสมอ ในการกล่าวถึงเรื่องของทางโลกนั้นก็ใช้คำว่ากามมาอธิบายเป็นหลักโดยในที่นี้จะกล่าวถึง กาม 2 อย่าง กาม 5 อย่าง และกามโภคีบุคคล 10 อย่างกาม 2 อย่าง คือ กิเลสกามและวัตถุกาม และกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกามโภคี 10 แบ่งกลุ่มตามการแสวงหา ดังนี้ 1. กลุ่มแสวงหาโดยไม่ชอบธรรม (ประเภทที่ 1-3) และ กลุ่มที่แสวงหาโดยชอบธรรมบ้าง ไม่ชอบธรรมบ้าง (ประเภทที่ 4-6): คือผู้ที่ได้ทรัพย์มาผิดวิธี หรือถูกบ้างผิดบ้าง โดยแบ่งย่อยตามการใช้จ่ายว่าเลี้ยงตนให้เป็นสุขหรือไม่ และมีการแบ่งปันทำความดีหรือไม่ 2. กลุ่มแสวงหาโดยชอบธรรม (ประเภทที่ 7-10): คือผู้ที่ได้ทรัพย์มาถูกวิธีประเภทที่ 7-8: ไม่แบ่งปันทำความดี (ต่างกันที่การเลี้ยงดูตนเอง) ประเภทที่ 9: เลี้ยงตนเป็นสุขและแบ่งปัน แต่ยังขาดสติปัญญา ยังหลงมัวเมาติดในทรัพย์ ประเภทที่ 10 (ผู้ประเสริฐที่สุด): คือผู้ที่แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม นำมาเลี้ยงตนให้เป็นสุข เผื่อแผ่แบ่งปันทำความดี และที่สำคัญคือ ไม่ลุ่มหลงมัวเมา มีสติปัญญารู้เท่าทันเห็นทั้งคุณและโทษของวัตถุ ทำให้จิตใจเป็นอิสระอยู่เหนือโภคทรัพย์นั้นผู้บริโภคกามที่เลิศที่สุดคือผู้ที่หาทรัพย์ชอบธรรม ใช้จ่ายเพื่อตนและผู้อื่น และมีปัญญาเป็นนายเหนือวัตถุ
48. ธรรมุทเทศ 4 [6848-3d]
55:03||Season 68, Ep. 48ธรรมุทเทศ มาจากธรรมะ+อุเทศ อุเทศคือสิ่งที่ยกขึ้นแสดง รวมกันหมายถึง ธรรมที่แสดงไว้ คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ในตอนนี้เป็นเรื่องราวที่พระเจ้าโกรัพยะ ได้ตรัสถามกับท่านพระรัฐปาละถึงความเสื่อม 4 ประการที่เมื่อบุคคลบางพวกประสพแล้วจึงออกบวชคือความเสื่อมเพราะชราความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้ความเสื่อมจากโภคสมบัติความเสื่อมจากญาติ ส่วนพระรัฐปาละยังไม่ได้เผชิญกับความเสื่อมทั้ง 4 ประการนี้เลยท่านเห็นสิ่งใดจึงก็ออกบวช ท่านพระรัฐปาละจึงได้ยกถึงธรรมุทเทศ 4 ประการที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้มากล่าวดังนี้ธรรมุทเทศ 4 ประการ 1. โลกอันชรานำไปไม่ยั่งยืน: สัตว์โลกต้องแก่ชราไปตามกาลเวลา 2. โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน: สัตว์โลกไม่สามารถต้านทานความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ และไม่เป็นอิสระเฉพาะตน 3. โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป: ทรัพย์สินและทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ ตายแล้วก็ไปด้วยไม่ได้ 4. โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป้นทาสแห่งตัณหา:มนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด เป็นทาสของตัณหา เมื่อผู้ใดเพ่งลงไปให้เห็นโทษภัยของความเสื่อมนั้น จะทำให้มองเห็นทางออกแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ของความเสื่อม 4 ประการนี้ได้
47. โทษของความโกรธ [6847-3d]
56:07||Season 68, Ep. 47ในมุมมองของคนที่มักโกรธ พอโกรธหรือไม่พอใจใครแล้ว ก็จะมองคน ๆ นั้นด้วยความเป็นศัตรูทันที คนมักโกรธจะมีความมุ่งหมายร้าย 7 ประการต่อศัตรู (เช่น ขอให้ผิวพรรณทราม, เป็นทุกข์, เสื่อมลาภยศ) แต่ผลร้ายเหล่านั้นกลับย้อนมาทำลายผู้โกรธเสียเอง ทำให้ชีวิตตกต่ำ จิตใจมืดบอดเหมือนไฟไหม้ และไม่เห็นธรรมพระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ถึงสาเหตุของความโกรธไว้ใน "มหานิทานสูตร" ว่าความโกรธมีรากฐานมาจาก "ตัณหา" หรือความยึดติด พอใจสิ่งใดก็เกิดความหวงกั้น เมื่อกระทบกระทั่งจึงพัฒนาจากความขัดเคือง (ปฏิฆะ) กลายเป็นความโกรธ (โกธะ) และลุกลามเป็นการประทุษร้าย (โทสะ)แนวทางแก้ไขคือการเจริญเมตตาภาวนาและดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างในการไม่โกรธตอบ แม้จะมีเหตุผลให้โกรธเพียงใดก็ตาม เพื่อตัดวงจรการจองเวรที่จะเกิดขึ้นจากความโกรธนั้น
46. การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ [6846-3d]
52:40||Season 68, Ep. 46"ธรรมเทศนา" คือการแสดงธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่ออธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงกล่าวไว้กับพระมหากัสสปะว่า การแสดงธรรมมีทั้งแบบบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์· การแสดงธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ คือการแสดงโดยมีเจตนาหวังลาภ สักการะ หรือคำสรรเสริญ ซึ่งจะนำไปสู่สัทธรรมปฏิรูป (การเลียนแบบธรรมะ)· การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ ต้องอาศัย 5 ประการ คือ 1. มีเจตนาให้ผู้ฟังเกิดศรัทธาและปัญญา 2. อาศัยธรรมะเป็นธรรมอันดี 3. อาศัยความกรุณา 4. อาศัยความเอ็นดู และ 5. อาศัยความอนุเคราะห์การแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ แบ่งเป็นกลุ่มได้ 3 กลุ่ม· ผู้ฟังปฏิบัติได้ แล้วเกิดผลจริง· ธรรมะที่แสดงดีมีประโยชน์มาก· จิตใจของผู้แสดงธรรมประกอบด้วยพรหมวิหาร 4 การจะพิจารณาว่าผู้แสดงธรรมบริสุทธิ์หรือไม่ ให้ดูที่การเป็นอยู่ การพูดจา ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งต้องใช้เวลาในการพิจารณา ปัจจัยที่จะทำให้พระสัทธรรมยั่งยืนคือการที่พุทธบริษัท 4 มีความเคารพในพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ ในสิกขา สมาธิ และเคารพซึ่งกันและกัน รวมถึงการเล่าเรียนให้ถูกต้อง
45. ธรรมเพื่อการพัฒนาตนเอง [6845-3d]
56:23||Season 68, Ep. 45“ภาวนา” คือ การพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นทุกด้าน มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าและเจริญงอกงามอยู่เสมอ ในตอนนี้จะกล่าวถึงธรรมะ 3 หมวดที่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาตนเอง ได้แก่1.วุฑฒิธรรม 4 (ธรรมเป็นเครื่องเจริญแห่งปัญญา) : ประกอบด้วย การคบหาสัตบุรุษ (สัปปุริสังเสวะ) , การเอาใจใส่เล่าเรียนฟังธรรม (สัทธัมมัสสวนะ) , การคิดวิเคราะห์อย่างแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) , และการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (ธัมมานุธัมมปฏิบัติ)2.วัฒนมุข 6 (ประตู 6 ประการสู่ความเจริญงอกงามของชีวิต) : ประกอบด้วย ความไม่มีโรค (อาโรคยะ) , ความมีระเบียบวินัย (ศีล) , การศึกษาแนวทางจากบัณฑิต (พุทธานุมัต) , การใฝ่ฟังศึกษาหาความรู้ (สุตะ) , การดำเนินชีวิตในทางที่ชอบธรรม (ธรรมานุวัติ) , และความเพียรพยายามไม่ย่อหย่อน (อลีนตา)3.อธิษฐานธรรม 4 (ธรรมที่เป็นฐานที่มั่นคงเพื่อความสำเร็จ) : ประกอบด้วย ปัญญา (การหยั่งรู้เหตุผล) , สัจจะ (การพูดจริงทำจริง) , จาคะ (การสละสิ่งไม่ดีออกไป) , และอุปสมะ (ความสงบ)ธรรม 3 หมวดนี้เป็นธรรมที่เป็นไปในแนวเดียวกัน ที่เมื่อได้นำไปประพฤติปฏิบัติแล้วก็จะเกิดการพัฒนา ก้าวหน้า และนำไปสู่ความเจริญงอกงามในชีวิตได้
44. อินทรีย์ : ความเป็นใหญ่ [6844-3d]
58:34||Season 68, Ep. 44อินทรีย์ หมายถึง ความเป็นใหญ่มีการใช้อยู่ในหลายๆนัยยะ ที่จะนำมากล่าวในที่นี้มี 22 ข้อ ตามที่รวบรวมไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งรวบรวมตามพระสูตรที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ ได้แก่อินทรีย์ 6: คืออายตนะหรือประสาทสัมผัสทั้ง 6 (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) ซึ่งแต่ละอย่างมีความเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน (เช่น หูเป็นใหญ่ในการได้ยินเสียง)อินทรีย์ 3 (นัยยะที่ 1): เกี่ยวข้องกับภาวะเพศและการเวียนว่ายตายเกิด ได้แก่ ปุริสินทรีย์ (ภาวะชาย), อิตถินทรีย์ (ภาวะหญิง), และ ชีวิตินทรีย์ (ภาวะชีวิต)อินทรีย์ 3 (นัยยะที่ 2): เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ (โลกุตตระ) ได้แก่1.อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ คืออินทรีย์ของผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าจะรู้สัจธรรม2.อัญญินทรีย์ คือ ปัญญาอันรู้ทั่วถึง3.อัญญาตาวินทรีย์ คือปัญญาอันรู้ทั่วถึงแล้วอินทรีย์ 5 (นัยยะที่ 1) ได้แก่ ความสุขกาย ความทุกข์กาย ความสุขใจ ความทุกข์ใจ อุเบกขาอินทรีย์ 5 (นัยยะที่ 2) เป็นนัยยะที่เราสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมที่เหมือนกันโดยองค์ธรรมกับพละ5พละ 5 ได้แก่ 1)ศรัทธา คือ ความมั่นใจ 2)วิริยะ คือ ความเพียร 3)สติ คือ ความระลึกได้ 4)สมาธิ คือ จิตเป็นอารมณ์อันเดียว 5)ปัญญา คือ ความเห็นตามความเป็นจริง