Share
3 ใต้ร่มโพธิบท
นิวรณ์ 5 [6744-3d]
“นิวรณ์ 5” กิเลสที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม เกิดขึ้นในช่องทางใจระหว่างการปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นเครื่องขวางกั้น ทำให้จิตขุ่นมัว ไม่เป็นสมาธิประกอบด้วย 5 อย่างดังนี้
1. กามฉันทะ คือ ความพอใจในกาม, ความต้องการกามคุณ
2. พยาบาท คือ ความคิดร้าย, ความขัดเคืองแค้นใจ
3. ถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาความซบเซาเซื่องซึม, ความหดหู่
4. อุทธัจจกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญใจ, ความกระวนกระวายคิดไปในกาม พยาบาทเบียดเบียน
5. วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ความเคลือบแคลงเห็นแย้ง
การจะระงับนิวรณ์ได้ สิ่งสำคัญที่สุด คือ “การมีสติ” ระลึกรู้ถึงนิวรณ์ที่เกิดขึ้น และการใช้ “กำลังของสติ” ไม่ให้จิตน้อมไปตามความคิดเหล่านั้น นั่นจะทำให้นิวรณ์อ่อนกำลังและดับไป นอกจากนี้ การไม่ตั้งความพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การเจริญพรหมวิหาร 4 รวมถึงการเจริญโพชฌงค์ 7 ก็ทำให้นิวรณ์ระงับได้ เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ในการเจริญสมาธิภาวนา เราอาจใช้นิวรณ์เป็นกรอบนิมิตได้ว่า สมาธิช่วงไหนควรเป็นไปเพื่อให้จิตสงบ หรือช่วงไหนควรเป็นไปเพื่อการพิจารณาให้เกิดปัญญา ได้อีกด้วย
Time stamp 6744-3d:
(00:38) ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ
(10:27) ความหมายของนิวรณ์
(12:42) กามฉันทะ
(23:35) ความพยาบาท
(31:25) ถีนมิทธะ
(37:15) อุทธัจจะ กุกกุจจะ
(41:12) วิจิกิจฉา
(44:47) วิธีแก้ นิวรณ์ 5
(53:50) โพชฌงค์ 7 ระงับ นิวรณ์ 5 ได้
More episodes
View all episodes
51. ข้อควรพิจารณาเนืองๆ [6751-3d]
58:42||Season 67, Ep. 51สิ่งที่ควรพิจารณาเนืองๆ 5 ประการ 1.เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ คือต้องไตร่ตรองใคร่ครวญอยู่เป็นประจำ ตริตรึกด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยศรัทธา จนเข้าไปสู่จิตใจ ถ้าพิจารณาสิ่งนี้อยู่เนืองๆ อานิสงส์ที่จะได้รับคือ จะทำให้ละความเพลินความมัวเมาในความเป็นหนุ่มสาวได้ 2.เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ พิจารณาให้เห็นว่ากายนี้เป็นรังแห่งโรค ไตร่ตรองใคร่ครวญอยู่เป็นประจำ ตริตรึกถึงความเจ็บไข้ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ด้วยสัมมาทิฏฐิ จนเข้าไปสู่จิตใจ ถ้าพิจารณาสิ่งนี้อยู่เนืองๆ จะทำให้ละความมัวเมาในความไม่มีโรคได้3.เรามีความตายเป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ความตายมีซ่อนอยู่ในชีวิต พิจารณาให้เห็นว่าเซลล์ร่างกายเรานี้ตายอยู่ทุกวัน ให้ใคร่ครวญตริตรึกถึงความตายด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ด้วยปัญญา จนเข้าไปสู่จิตใจ ถ้าพิจารณาสิ่งนี้อยู่เนืองๆ จะทำให้ละความมัวเมาในชีวิตไปได้4.เรามีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ พิจารณาให้เห็นถึงความพลัดพลากจากสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบใจอยู่เนืองๆ จะทำให้คลายกำหนัดจากสิ่งที่รักที่ชอบใจ ทำให้จิตไม่มัวเมาลุ่มหลงในกิเลส5.เรามีกรรมเป็นของตน ถ้าพิจารณาสิ่งนี้อยู่เนืองๆ จะทำให้เราไม่กล้าคิดชั่ว ทำชั่ว ทำให้เป็นผู้ประพฤติกาย วาจา ใจ อันสุจริต Time stamp 6751-3d: (00:24) ปฏิบัติภาวนา เจริญกายคตาสติ(06:40) สิ่งที่ควรพิจารณาเนือง ๆ(22:12) เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้(49:09) เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้(52:43) เรามีความตายเป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความตายไปได้(54:41) เรามีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ(56:02) เรามีกรรมเป็นของตน(56:49) ข้อควรพิจารณาเนือง ๆ สำหรับนักบวช50. การบูชายัญ [6750-3d]
58:38||Season 67, Ep. 50การบูชา ที่มีสิ่งของประกอบในการบูชานั้น เรียกว่าอามิสบูชา และถ้าเจาะจงว่ามีผู้รับสิ่งของที่ให้นั้นจะเรียกว่า “ทาน” คือการให้ แต่ถ้าตั้งไว้เฉยๆโดยไม่มีผู้รับชัดเจน แต่หวังว่าจะมีผู้รับเรียกว่า “ยัญ” ในที่นี้จะกล่าวถึง การบูชายัญ โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ใน กูฏทันตสูตร เป็นการกล่าวถึงการบูชายัญที่ถูกต้องไว้กับกูฏทันตพราหมณ์ลักษณะยัญที่มีองค์ประกอบ 33 อย่างซึ่งเมื่อบูชาแล้วมีผลมาก แบ่งเป็นหมวดๆดังนี้4 อย่างแรก คือ ได้ฉันทานุมัติ จากคนทั้งประเทศ ได้แก่ 1.เจ้าผู้ครองเมืองต่างๆ 2.อำมาตย์ราชบริพารผู้ใหญ่ 3.พราหมณ์มหาศาล 4.คหบดีผู้มั่งคั่ง8 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้บูชา ได้แก่ 1.มีชาติตระกูลดี 2.มีรูปงดงาม 3.มีโภคทรัพย์สมบัติมาก 4.มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกร 5.มีความใจบุญมีเมตตา 6.มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ เพื่อรอบรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี 7.มีความเป็นนักปราชญ์บัณฑิตเต็มภาคภูมิ 8.มีวิสัยทัศน์4 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้ให้คำแนะนำ ได้แก่ 1.มีชาติตระกูลดี 2.มีความรอบรู้ในสรรพวิชาความรู้ 3.มีศีล เพื่อความไว้วางใจว่าไม่เป็นผู้มีนอกมีใน 4.เป็นบัณฑิตมีปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหา อย่างน้อยเป็นลำดับที่ 2 ของปราชญ์ทั้งแผ่นดิน3 อย่างคือ ต้องไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองของเครื่องบูชา ได้แก่ 1.ไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองก่อนการบูชา 2.ไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองระหว่างการบูชา 3.ไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองหลังการบูชา10 อย่างคือ ลักษณะของผู้รับเอาเครื่องบูชา ได้แก่ 1.ทั้งพวกที่ฆ่าสัตว์ ทั้งพวกที่เว้นจากการฆ่าสัตว์ 2.ทั้งพวกที่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ 3.ทั้งพวกที่ประพฤติผิดในกาม ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม 4.ทั้งพวกที่กล่าวคำเท็จ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำเท็จ 5.ทั้งพวกที่กล่าวคำส่อเสียด ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำส่อเสียด 6.ทั้งพวกที่กล่าวคำหยาบ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำหยาบ 7.ทั้งพวกที่กล่าวคำเพ้อเจ้อ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำเพ้อเจ้อ 8.ทั้งพวกที่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา ทั้งพวกที่ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา 9.ทั้งพวกที่มีจิตพยาบาท ทั้งพวกที่ไม่มีจิตพยาบาท 10.ทั้งพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งพวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิ 4 อย่างคือ คุณสมบัติคนที่มาร่วมด้วย ได้แก่ 1.พวกเจ้าผู้ครองเมืองตั้งโรงทานในทิศตะวันออก 2.พวกอำมาตย์ตั้งโรงทานในทิศใต้ 3.พวกพราหมณ์มหาศาลตั้งโรงทานในทิศตะวันตก 4.พวกคหบดีตั้งโรงทานในทิศเหนือองค์ประกอบเหล่านี้เป็นการบูชายัญที่ให้ผลมาก มีการตระเตรียมมากและสิ้นเปลืองมากพระพุทธเจ้าทรงบอกแก่กูฏทันตพราหมณ์ว่ายังมีการบูชาที่สิ้นเปลืองน้อยแต่ได้อานิสงค์มาก ได้แก่ 1.การให้ทานเป็นประจำ(นิตยทาน) 2.วิหารทาน 3.การถึงไตรสรณคมน์ 4.การรักษาศีล 5.การทำสมาธิ Time stamp 6750-3d:(00:40) ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ(06:49) กูฏทันตสูตร การบูชายัญ(07:45) กูฏทันตสูตร การบูชายัญ(37:28) ลักษณะยัญที่มีองค์ประกอบ 33 อย่าง(37:43) 4 อย่าง คือ ได้ฉันทานุมัติ จากคนทั้งประเทศ(37:47) 8 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้บูชา(37:53) 4 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้ให้คำแนะนำ(38:00) 3 อย่างคือ ความสิ้นเปลืองของเครื่องบูชา(38:10) 10 อย่างคือ ลักษณะของผู้รับเอาเครื่องบูชา(38:33) 4 อย่างคือ คุณสมบัติคนที่มาร่วมด้วย(42:59) การบูชาที่สิ้นเปลืองน้อยและได้อานิสงค์มาก49. โทษของความโกรธ [6749-3d]
56:09||Season 67, Ep. 49ในมุมมองของคนที่มักโกรธ พอโกรธหรือไม่พอใจใครแล้ว ก็จะมองคน ๆ นั้นด้วยความเป็นศัตรูทันที เขาจึงเห็นว่าความโกรธมีเพื่อที่จะทำให้ตนเองรู้สึกดี เพราะเขาจะมีความมุ่งหมาย 7 ประการนี้แก่ผู้เป็นศัตรู คือ 1) หวังให้เขามีผิวพรรณทราม 2) หวังให้เขาเป็นทุกข์ 3) หวังให้เขาไม่มีความเจริญ 4) หวังให้เขาปราศจากโภคทรัพย์ 5) หวังให้เขาปราศจากยศตำแหน่ง 6) หวังให้เขาปราศจากเพื่อน และ 7) หวังให้เขาตกนรกโดยเร็วก็แล้วทำไมคนที่มักโกรธจึงจะมีทุกข์มีปัญหา? พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนใน “โกธนสูตร” ว่า บุคคลผู้มักโกรธนั้น มีผิวพรรณทราม นอนเป็นทุกข์ ได้ความเจริญแล้วก็ยังถึงความเสื่อม บุคคลผู้มักโกรธ ถูกความโกรธครอบงำ ทำการเข่นฆ่าทางกาย วาจา ย่อมประสบความเสื่อมทรัพย์ บุคคลผู้มัวเมาด้วยความมัวเมาเพราะโกรธ ย่อมถึงความเสื่อมยศ ญาติมิตรและสหาย ย่อมหลีกเว้นบุคคลผู้มักโกรธความโกรธก่อความเสียหาย ความโกรธทำจิตให้กำเริบ บุคคลผู้มักโกรธย่อมไม่รู้ภัยที่เกิดจากภายใน บุคคลผู้โกรธย่อมไม่รู้อรรถ บุคคลผู้โกรธย่อมไม่เห็นธรรม ความโกรธครอบงำนรชนในกาลใด ความมืดย่อมมีในกาลนั้น บุคคลผู้โกรธย่อมก่อกรรมที่ทำได้ยากเหมือนทำได้ง่าย ภายหลังเมื่อหายโกรธแล้ว เขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้ บุคคลผู้โกรธย่อมแสดงความเก้อยากก่อนเหมือนไฟแสดงควันก่อน ความโกรธเกิดขึ้นในกาลใด คนทั้งหลายย่อมโกรธในกาลนั้น บุคคลผู้โกรธไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีคำพูดที่น่าเคารพ บุคคลผู้ถูกความโกรธครอบงำไม่มีความสว่างแม้แต่น้อยฯเพื่อไม่ให้ได้รับโทษจากความโกรธนั้น เราก็ไม่ควรโกรธใคร ๆ เลย แม้จะมีเหตุผลที่น่าโกรธจริง ๆ ก็ไม่ควรโกรธอยู่ดี พระพุทธเจ้าท่านได้ทำเป็นตัวอย่างแล้ว ในจิตใจของท่านมองเห็นทุกคนด้วยความไม่เป็นศัตรู มองเห็นทุกคนด้วยความเป็นมิตร ไม่โกรธใครเลย แม้เขาจะทำไม่ดีก็ตาม ดังเช่น พระพุทธองค์ไม่โกรธพระเทวทัต แต่บอกอานิสงส์ที่ทำดีแล้วจะได้ผลดีอย่างนี้ ๆ บอกโทษของการทำไม่ดีแล้วจะได้ผลไม่ดีอย่างนี้ ๆ ท่านก็แสดงไปตามเหตุผลความโกรธเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสบอกเอาไว้ใน “มหานิทานสูตร” ว่า ที่เรามาถึงจุดที่ลงมือลงไม้ด่าว่ากัน คิดประทุษร้ายกันได้ เหล่านี้ทั้งหมดนั้นเรียกว่า “เรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้น” ซึ่งอาศัยความตระหนี่จึงทำให้เกิดการหวงกั้น เพราะมีความยินดี รักใคร่ จับอกจับใจคือยึดติดแล้ว จึงมีความตระหนี่ได้ และเพราะความสยบมัวเมา ลุ่มหลง ปลงใจรัก ในสิ่งที่แสวงหา (ความอยากคือตัณหา) จิตเราจึงเป็นทาสของสิ่งนั้น ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลินคือโมหะ จึงเป็นรากฐานของโทสะ ราคะ นั่นเอง สิ่งนี้จึงต้องระวัง แม้แต่ความดี เรายังโกรธเพราะการแสวงหาความดีได้ เป็นอุปัทวะ (อันตราย) คือถ้ามีคนทำไม่ดี ยังยึดติดในความดีนี้อยู่ไหม ในนามของความดี ฉันขอทำชั่ว ไปโกรธคนทำไม่ดีนั้น มันก็ไม่ได้เรื่องไล่ลำดับขั้นของความโกรธในทางจิตใจ เริ่มจาก มีความยินดี (รติ) ความไม่ยินดี (อรติ) ---> ความไม่พอใจ ความขัดเคือง (ปฏิฆะ)---> แต่ถ้ายังหยุดไม่ได้ก็จะกลายเป็น ความโกรธ (โกธะ) ---> และเมื่อเพลินไปในความโกรธนั้น ก็จะนำไปสู่ โทสะ มันจึงเริ่มออกมาภายนอกเป็นการกระทำทางวาจา ทางกาย คิดประทุษร้ายลงมือลงไม้ เริ่มเป็นกรรมแล้ว ที่จะทำให้เกิดอาสวะ เป็นการผูกพยาบาทข้ามภพข้ามชาติได้ ดังนั้นถ้าเรามีเงื่อนไขของความสุขมาก มันก็จะทุกข์ทันที48. ขันธ์ 5 แบบแจกแจง และการทำงานของขันธ์ (ตอนที่ 2)
59:21||Season 67, Ep. 48ขันธ์ แปลว่า หมู่หรือกองของรูปกับนามที่แยกออกได้เป็น 5 กอง ซึ่งเรียกว่า ขันธ์ 5 คือ รูป, เวทนา ,สัญญา, สังขาร ,วิญญาณ จัดอยู่ใน “ทุกขอริยสัจ” ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์ และกิจที่ต้องทำคือ กำหนดรู้ทุกข์การทำงานของขันธ์ 5 แต่ละขันธ์ เป็นการอาศัยกันและกันเกิดขึ้นของนามรูป และวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ -> ให้เกิดการปรุงแต่ง คือ สังขาร -> สัญญา -> เวทนา -> วิญญาณ และจิตก็เข้าไปยึดถือวิญญาณโดยความเป็นตัวตนและก้าวลงตามต่อไปในขันธ์ต่างๆ เพราะด้วยอำนาจความเพลินแห่งนันทิราคะ47. ขันธ์ 5 โดยรวม (ตอนที่1) [6747-3d]
57:59||Season 67, Ep. 47“ทุกขอริยสัจ” ความจริงอันประเสริฐ คือ “ทุกข์” อุปาทาน (ความยึดถือ) ในขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสุข หรือ ทุกข์ ต่างอาศัยเหตุเกิด ย่อมเป็นทุกข์ เพราะมีความไม่เที่ยง เป็นอนัตตาขันธ์ 5 คือ กองทุกข์ แบ่งออกได้เป็น 5 กอง ได้แก่“รูป” คือ สิ่งที่แตกสลายได้ เปรียบเหมือนก้อนฟองน้ำ ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นสารมิได้“เวทนา” คือ ความรู้สึกที่เกิดจากผัสสะ เปรียบเหมือนต่อมนํ้าเกิดขึ้นและแตกกระจายอยู่บนผิวน้ำ ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นสารมิได้“สัญญา” คือ ความจำได้หมายรู้ เปรียบเหมือนพยับแดดย่อมไหวยิบยับ ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นสารมิได้“สังขาร” คือ การปรุงแต่งให้สำเร็จรูป เปรียบเหมือนการหาแก่นไม้ในต้นกล้วย ไม่พบแม้แต่กระพี้ จะพบแก่นได้อย่างไร“วิญญาณ” คือ การรับรู้ เปรียบเหมือนนักแสดงกล กลนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ Time stamp 6747-3d:(00:35) ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ(08:40) ขันธ์ 5(09:37) "ทุกข์"(18:10) แจกแจงทุกข์(20:46) รูปขันธ์(21:52) กองที่หนึ่ง รูป(22:02) กองที่สอง เวทนา(23:05) กองที่สาม สัญญา(26:18) อธิบาย อุปาทานขันธ์ 546. ฐานะที่พึงรู้ได้ [6746-3d]
56:28||Season 67, Ep. 46การที่เราจะรู้จักใครสักคนอย่างดีพอนั้น… ไม่ใช่จากคำบอกเล่าของบุคคลอื่น หรือ จากสิ่งที่เราได้ยินได้เห็นเพียงแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น แต่ต้องอาศัยเวลาในการอยู่ร่วมกันนานพอสมควร รวมถึงการทำไว้ในใจโดยแยบคาย และปัญญาฐานสูตร ว่าด้วยฐานะที่พึงรู้ด้วยฐานะ เราจะรู้ได้ว่าบุคคลนั้น มีศีล สมาธิ และปัญญาจะพิจารณาได้จาก“ศีล” คือความปกติ พึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน กล่าวคือ เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วจะรู้ถึงความมีศีลเป็นปกติหรือมีศีลด่างพร้อยของบุคคลนั้น“ความบริสุทธิ์” คือความสะอาดในการดำเนินชีวิตในการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น พึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ กล่าวคือ เมื่อมีการสนทนาพูดคุยตัวต่อตัว สอง-สามคนบ้าง..ฯ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถ้อยคำพูดคราวหลังก็ไม่ต่างจากพูดคราวก่อน“กำลังใจ” คือสมาธิคือจิตที่มีพลัง พึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย กล่าวคือ เมื่อประสบกับโลกธรรม 8 แล้ว มีปัญญาเห็นสภาวะทุกข์นั้นตามความเป็นจริง“ปัญญา” พึงรู้ได้ด้วยการสนทนา กล่าวคือ เมื่อสนทนากันแล้วรู้ว่า ท่านผู้นี้มีการตระเตรียมปัญหาที่ตนปรารถนาจะรู้ และสามารถที่จะบอก แสดง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นทั้งโดยย่อหรือโดยพิสดาร45. เหตุให้อายุยืน [6745-3d]
55:47||Season 67, Ep. 45เหตุให้อายุยืน ได้แก่1. รู้จักทำความสบายแก่ตนเอง คือรู้จักสิ่งที่เป็นสัปปายะ รู้จักสิ่งที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตน2. รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย 3. บริโภคอาหารที่ย่อยง่าย รวมถึงการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดด้วย4. ประพฤติเหมาะสมในเรื่องเวลา คือ ทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับเวลาอย่างสม่ำเสมอ เช่น นอนให้เป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา ออกกำลังให้สม่ำเสมอเป็นเวลา 5. ประพฤติพรหมจรรย์ สามารถทำให้อายุยืนได้เพราะเป็นการฝึกจิตคือจิตใจเมื่อเว้นจาการเสพเมถุน ไม่ได้หาความสุขจากตา หู ลิ้นและกายแล้ว ก็ให้มาหาความสุขทางใจ ความสุขที่เกิดจากการสงบระงับ ความสุขจากนิพพาน จะเป็นความสุขที่นิ่งๆเย็นๆ สุขแบบนี้จะมีผลให้อายุยืนได้6. มีศีล ผู้ที่มีศีลถือว่าเป็นผู้ไม่ประมาท จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่างๆลงได้7. มีกัลยาณมิตร การมีมิตรดีจะช่วยดูแลอันตรายต่างๆให้แก่กัน พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงเหตุปัจจัยอีกอย่างที่จะทำให้บุคคลอายุยืน คือ การเจริญอิทธิบาท4 นอกจากนี้ยังมีธรรมะอีกอย่างที่จะทำให้อายุยืนคือ อารยวัฒิ 5 (ธรรมแห่งความเจริญ 5 ประการ)ประกอบด้วย ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาการสร้างเหตุปัจจัยเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราจะทำให้เราเป็นผู้มีอายุยืน มีความสุขและสุขภาพแข็งแรง43. นาถกรณธรรม 10 ประการ [6743-3d]
57:19||Season 67, Ep. 43ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่าให้พึ่งตน พึ่งธรรมนั้น หมายถึง พึ่งธรรมของพระองค์ในตอนนี้จึงจะยกธรรมเป็นที่พึ่ง หรือคุณธรรมที่ทำให้ตนเป็นที่พึ่งของตนได้ คือนาถกรณธรรม 10 ประการ มากล่าว ดังนี้ ศีล คือ ความประพฤติดีงามสุจริต รักษาระเบียบวินัย ผู้มีศีลถือว่าเป็นผู้มีที่พึ่งแล้วพาหุสัจจะ คือ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก มีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งในธรรมกัลยาณมิตตตา คือ ความมีกัลยาณมิตร, การคบเพื่อนดี หากแม้หาเพื่อนที่ดีไม่ได้ มรรค8 เป็นกัลยาณมิตรได้โสวจัสสตา ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย รับฟังเหตุผล กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความเอาใจใส่ช่วยขวนขวายในกิจใหญ่น้อยทุกอย่างของเพื่อนร่วมหมู่คณะ รู้จักพิจารณาไตร่ตรอง สามารถจัดทำให้สำเร็จเรียบร้อยธัมมกามตา ความเป็นผู้ใคร่ธรรม คือ รักธรรม ใฝ่ความรู้ใฝ่ความจริง รู้จักพูดรู้จักฟัง ทำให้เกิดความพอใจ น่าร่วมปรึกษาสนทนา ชอบศึกษา ยินดีพอใจมีความปราโมทย์ในหลักธรรมหลักวินัยที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปวิริยารัมภะ ความขยันหมั่นเพียร คือ เพียรละความชั่ว ประกอบความดีมีใจแกล้วกล้าที่จะทำความดี กล้าที่จะลงมือทำในสิ่งดีๆ ปรารภความเพียรและไม่ทอดทิ้งธุระสันตุฏฐี ความสันโดษ คือ ยินดี มีความสุขความพอใจด้วยปัจจัย 4 ที่หามาได้ด้วยความเพียรอันชอบธรรมของตน มีลักษณะ 3 อย่างคือ ยถาลาภสันโดษ คือความสันโดษตามมีตามได้ ได้มาอย่างไรก็พอใจอย่างนั้น , ยถาพลสันโดษคือความสันโดษตามกำลังในสิ่งที่ควรจะใช้, ยถาสารุปปสันโดษคือ รู้จักพอเป็น อิ่มเป็น และแบ่งปันส่วนที่เกินเลยไปเอื้อเฟื้อผู้อื่นตามสมควรสติ คือเป็นผู้ความมีสติ เป็นผู้ระลึกการที่ทำคำที่พูดไว้แม้นานได้ คือไม่ให้เพลินไป ไม่ให้เผลอไป ไม่ประมาทไป ตามผัสสะต่างๆที่มากระทบ ปัญญา ความมีปัญญาหยั่งรู้เหตุผล รู้จักคิดพิจารณา มีปัญญาที่จะกำจัดกิเลส เข้าใจภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง นาถกรณธรรมนี้ เป็นธรรมมีอุปการะมาก เพราะเป็นกำลังหนุนในการบำเพ็ญคุณธรรมต่างๆ ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่างกว้างขวางTime stamp 6743-3d:(00:34) ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ(05:10) นาถกรณธรรม 10 ประการ(10:34) ศีล ความประพฤติดีงามสุจริต(12:36) พาหุสัจจะ(18:35) กัลยาณมิตตตา(22:17) โสวจัสสตา(28:40) กิงกรณีเยสุ ทักขตา(29:32) วิริยารัมภะ(35:30) ธัมมกาโม(39:38) สันตุฏฐี(48:15) สติ(50:54) ปัญญา