Share
![cover art for คุณสมบัติของคนดี [6712-3d]](https://open-images.acast.com/shows/63760a658c890a00102a0b39/show-cover.jpg?height=750)
3 ใต้ร่มโพธิบท
คุณสมบัติของคนดี [6712-3d]
Season 67, Ep. 12
•
“สัตบุรุษหรือสัปปบุรุษ” หมายถึง คนดี เป็นผู้ประกอบด้วยสัทธรรม ตามจูฬปุณณมสูตร คือผู้มี “ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสุต ความเพียร สติมั่นคง และปัญญา” โดยทั่วไปเราจะพิจารณาว่าใครเป็นคนดี ก็โดยเทียบกับคุณธรรมที่กล่าวนี้ จากมิตรสหายที่บุคคลนั้นคบหา จากความคิด การให้คำปรึกษา วาจา4 การกระทำ ทิฐิความเห็น และทานที่ให้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของ “อุบาสกธรรม7” คือคุณสมบัติของชาวพุทธที่ดี และ”กัลยาณมิตรธรรม7” คือคุณสมบัติของมิตรแท้ และ “สัปปุริสธรรม7” ในธัมมัญญสูตร อันเป็นคุณสมบัติของสัตบุรุษ ที่เปรียบดั่งคุณธรรมของพระเจ้าจักรพรรดิ
คุณธรรมเหล่านี้ ศึกษาเพื่อเป็นบรรทัดฐาน พัฒนาจุดที่ยังมีน้อยอยู่ หรือหากมีคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว ก็รักษาคงไว้เพื่อความดีงาม และความเจริญต่อไป
More episodes
View all episodes
28. ตัณหาเพื่อนสอง [6828-3d]
56:58||Season 68, Ep. 28ในโลกปัจจุบันนี้มีเรื่องขัดแย้งวุ่นวายเกิดขึ้นหลายเรื่องราว สาเหตุของเรื่องราวขัดแย้งมักเริ่มจากจุดเล็กๆคือการทะเลาะกันเหตุเพราะมีเรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้น การมีเรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้นขึ้นนั้นมีเหตุเริ่มมาจาก “ตัณหา” คือ เมื่อมีตัณหาจะทำให้เกิดการแสวงหา ทำให้มีการได้ เมื่อได้มาทำให้มีการปลงใจรัก แล้วก่อให้เกิดความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ทำให้มีความสยบมัวเมาอย่างจับอกจับใจ จึงทำให้มีความตระหนี่ จึงทำให้มีการหวงกั้น แล้วจึงทำให้มีเรื่องราวจากการหวงกั้นนั้น ความขัดแย้งวุ่นวายต่าง ๆ ดังพุทธพจน์กล่าวไว้ดังนี้เพราะมีเวทนา จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหา จึงมีการแสวงหา (ปริเยสนา) เพราะมีการแสวงหาจึงมีการได้ (ลาโภ)เพราะมีการได้ จึงมีความปลงใจรัก (วินิจฺฉโย) เพราะมีความปลงใจรัก จึงมีความกำหนัดด้วยความพอใจ (ฉนฺทราโค)เพราะมีความกำหนัดด้วยความพอใจ จึงมีความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ) เพราะมีความสยบมัวเมา จึงมีความจับอกจับใจ (ปริคฺคโห) เพราะมีความจับอกจับใจ จึงมีความตระหนี่ (มจฺฉริยํ) เพราะมีความตระหนี่ จึงมีการหวงกั้น (อารกฺโข)เพราะมีการหวงกั้น จึงมีเรื่องราวอันเกิดจากการหวงกั้น (อารกฺขาธิกรณํ) กล่าวคือ การใช้อาวุธไม่มีคม การใช้อาวุธมีคม การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวคำหยาบว่า “มึง ! มึง !” การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จทั้งหลาย ธรรมอันเป็นบาปอกุศลเป็นอเนก ย่อมเกิดขึ้นพร้อมด้วยอาการอย่างนี้นี่คือทางสายที่ไม่ดีคือทางที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในคือทางแห่งมิจฉามรรค แต่ในเส้นทางนี้ยังมีทางออกไปสู่ทางที่ดีได้ เช่น ช่องของความพอใจ คือเมื่อเกิดฉันทะ ก็อย่าให้มีราคะ คือต้องฉลาดในการวินิจฉัยให้ถูกว่าความสุขเกิดขึ้นเป็นความสุขแบบใด ความสุขมี 2 แบบ คือ 1) ความสุขที่ไม่ควรเสพคือความสุขที่เกิดกาม ความสุขที่เกิดจากทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะมีโทษมากมีคุณน้อย 2) ความสุขที่ควรเสพ คือความสุขที่เกิดจากภายใน เป็นความสุขที่เกิดจากฌานสมาธิทั้ง 4 เป็นความสงบให้เกิดความรู้ยิ่งรู้พร้อม หรือทางออกจากช่องทางการแสวงหาคือการแสวงหาที่ประเสริฐและการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ ผู้ที่แสวงหาหนทางที่ประเสริฐคือทางแห่งมรรค 8 ก็จะเป็นผู้ค้นพบหนทางแห่งการพ้นทุกข์ได้27. ข้อสอบของอริยบุคคล [6827-3d]
59:07||Season 68, Ep. 27บุคคลผู้ดำเนินตามทางแห่งมรรค 8 จนสามารถมองเห็นฝั่งแห่งนิพพานอยู่เบื้องหน้า มีจุดหมายแห่งการบรรลุอย่างแน่แท้ เรียกว่า อริยบุคคล ผู้บรรลุธรรมวิเศษ แบ่งตามประเภทบุคคลมี 4 ประเภท คือ1.พระโสดาบัน คือ ผู้เข้าถึงกระแสธรรม การที่จะเข้าถึงคุณสมบัติของพระโสดาบันจะต้องสอบให้ผ่านบททดสอบแห่งความงมงาย ความเชื่อผิดๆ ความเข้าใจไม่ถูกต้อง คือต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของโสตาปัตติยังคะ 4 คือ 1) มีศรัทธา หยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า 2)ศรัทธา อันหยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหว ในพระธรรม 3) ศรัทธา หยั่งลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ 4) เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีล ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของโสตาปัตติยังคะ 4 จะทำให้ละ สังโยชน์ เบื้องต่ำ 3 ประการได้คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เมื่อละสังโยชน์ เบื้องต่ำ 3 ประการนี้ได้จะส่งผลให้เป็นผู้พ้นจากอบาย4 พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดเดรัจฉานและเปรตวิสัย และจะพ้นจากการมาเกิดอีกในชาติที่82.พระสกิทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว ผู้ได้บรรลุสกิทาคามิผลต้องผ่านข้อสอบเดียวกับโสดาบันคือเป็นผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ประการแรกได้ อีกทั้งต้องทำสังโยชน์เบื้องต่ำอีกสองประการที่เหลือให้เบาบางลงด้วย คือ กามราคะ ปฏิฆะ(พยาบาท) พระสกิทาคามีจะเกิดในกามาวจรภพอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะถึงพระนิพพาน3.พระอนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีก เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง 5 ประการได้แล้ว ข้อสอบที่พระอนาคามีต้องสอบให้ผ่านเพิ่มเติมคือ การละกามราคะ ละปฏิฆะ(พยาบาท) ให้ได้ ธรรมที่จะนำมาใช้คือการเจริญพรหมวิหาร 4 เมื่อเจริญพรหมวิหาร4อยู่เนืองๆจะทำให้ละกามราคะและละปฏิฆะลงได้ เมื่อสอบผ่านข้อสอบนี้ ผลก็คือจะทำให้พ้นจากโลกแห่งทางกาม คือไปเกิดในพรหมโลกอีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะนิพพานจากพรหมโลกนั้น4.และพระอรหันต์ คือ ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด สามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง 5 ประการได้แล้ว ยังละสังโยชน์เบื้องสูง (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) อีก 5 ประการ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ได้อีกด้วย26. สาธุนรธรรม (ธรรมะของคนดี) [6826-3d]
57:15||Season 68, Ep. 26การจะปรับเปลี่ยนคนไม่ดีให้เป็นคนดีได้ ต้องใช้ความดีเท่านั้น พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถาที่เป็นธรรมะของคนดี(สาธุนรธรรม) ไว้ 4 ข้อคือ1.จงเดินตามทางที่ท่านเดินไปแล้ว หมายถึง การรู้จักคุณของผู้มีพระคุณ (กตัญญู) ถ้าเราทำคุณกับผู้ไม่มีคุณธรรม อาจจะได้ผลน้อย ไม่ได้ผล หรือได้ผลร้าย2.จงอย่าเผาฝ่ามืออันชุ่มหมายความว่า ไม่ประทุษร้าย ท่านผู้มีคุณ สมัยก่อนเขาจะล้างมือแล้วหยิบของให้ มือจึงชุ่มอยู่เสมอ คือ ให้ของคนอื่นบ่อย3.อย่าประทุษร้ายในหมู่มิตร มีมิตรดีแล้ว ตั้งใจคบหาด้วยความเคารพ เอื้อเฟื้อ ด้วยความรู้ว่า ผู้มีมิตรธรรม ไม่ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อย ไม่เป็นผู้ด้อย4.ไม่ตกอยู่อำนาจของอิสตรี คำว่าอิสตรีในที่นี้หมายถึง หญิงที่ดูหมิ่นชาย คือ เมื่อเป็นสามีที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามหลักทิศทั้งหกแล้วภรรยายังดูหมิ่นไม่ให้เกียรติและไม่ทำหน้าที่ของตน ชายก็ไม่ควรตกอยู่ในอำนาจของสตรีแบบนี้25. คุณสมบัติของผู้เป็นโจทก์ [6825-3d]
57:02||Season 68, Ep. 25การโจทก์ในทางพุทธศาสนา คือ การตั้งหัวข้อที่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงให้อยู่ด้วยกันได้ การอยู่ร่วมกันนั้นต้องอยู่อย่างมีศีลและทิฏฐิที่เสมอกัน ในการปรับให้อยู่ด้วยกันนั้นต้องเป็นไปตามทางของมรรค โดยผู้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ต้องมีคุณธรรมดังนี้การเป็นผู้โจทก์ต้องมีคุณธรรม 5 อย่าง คือ1.ต้องกล่าวในเวลาอันควรอย่ากล่าวในเวลาอันไม่ควร2.ต้องกล่าวด้วยถ้อยคำอันเป็นจริงไม่กล่าวด้วยถ้อยคำอันไม่จริง3.ต้องกล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนหวานไม่กล่าวด้วยถ้อยคำหยาบคาย4.กล่าวด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยประโยชน์ไม่กล่าวด้วยถ้อยคำอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์5.ผู้กล่าวต้องกล่าวด้วยมีจิตเมตตากล่าวไม่กล่าวอย่าเพ่งโทษกล่าวส่วนผู้ถูกโจทก์ต้องมีคุณธรรม 2 อย่าง คือ1.ความจริง คือ เอาข้อเท็จจริงมาเป็นหลัก 2.ความไม่โกรธการนำคุณธรรมทั้ง 7 ข้อนี้มาใช้คือใช้ในเวลาที่เหมาะสม คุยด้วยเรื่องจริง ด้วยคำอ่อนหวาน ด้วยเรื่องที่ประกอบด้วยประโยชน์ และด้วยเมตตาจิต หากคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็เอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน และหากมีการกระทบกันก็ไม่โกรธกัน ก็จะทำให้อยู่ร่วมกันได้24. คุณสมบัติของอุบาสกอุบาสิกา [6824-3d]
55:15||Season 68, Ep. 24อุบาสกหรืออุบาสิกา แปลว่า ผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย หมายถึงผู้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ผู้นับถือศาสนาอย่างมั่นคง อุบาสกหรืออุบาสิกาในธรรมวินัยควรจะมีคุณสมบัติอย่างไรพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาไว้มีอยู่หลายส่วนด้วยกันในตอนนี้จะนำส่วนที่ครูบาอาจารย์ได้รวบรวมไว้ใน อังคุตตรนิกาย ซึ่งอยู่ในธรรมหมวด 7 คือ หานิสูตร โดยพูดถึงความที่จะไม่เสื่อม ความที่จะก้าวหน้า ความที่จะเจริญงอกงามของอุบาสกอุบาสิกา โดยกล่าวเปรียบเทียบไว้เป็นคู่ดังนี้1. การเยี่ยมเยือนภิกษุ หรือขาดเยี่ยมเยือนภิกษุ 2. ละเลยการฟังธรรม หรือไม่ละเลยการฟังธรรม 3. การศึกษาอธิศีล หรือไม่ศึกษาอธิศีล 4. การปลูกความเลื่อมใสศรัทธา 5. การไม่ตั้งจิตติเตียนเพ่งโทษฟังธรรม 6. การไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา 7. การทำสักการะก่อนในเขตบุญของพระพุทธศาสนา หากเราปฏิบัติตามหลักธรรมทั้ง 7 อย่างนี้อย่างถูกต้องต่อเนื่องก็จะทำให้เป็นอุบาสกหรืออุบาสิกาแก้วนั่นเอง โดยคุณสมบัติของ อุบาสกอุบาสิกาแก้ว มี 5 ประการ คือ1. มีศรัทธา คือมีความเชื่อ มีความมั่นใจในพระรัตนตรัย ความเชื่อของเรานี้ต้องเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ศรัทธางมงาย 2. มีศีล อย่างน้อยตั้งตนอยู่ในศีล5 ซึ่งจะทำให้มีชีวิตที่ดีงาม เป็นฐานสำหรับตนเองที่จะก้าวไปสู่การปฏิบัติเบื้องสูง พร้อมกันนั้น ก็เป็นเครื่องช่วยเหลือเกื้อกูลสังคม เพราะว่าผู้ถือศีล5 เป็นผู้ไม่เบียดเบียนคนอื่น แต่ดำรงชีวิตที่สุจริต ใครตั้งอยู่ในศีล 5 ก็ทำให้ที่นั้นมีความปลอดภัย3.ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือไม่มัวหวังผลจากความเชื่อถือนอกหลักพระพุทธศาสนา ที่เป็นความงมงาย ได้แต่หวังผลจากการดลบันดาลต่างๆ แต่ให้เชื่อกรรม คือเชื่อการกระทำที่เป็นไปตามเหตุผล ให้หวังผลจากการกระทำด้วยความเพียรพยายามของตน คุณสมบัติข้อนี้จะต้องให้เป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งของสังคมไทยของเรา4.ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา คือ เมื่อถือมงคลตื่นข่าว ไปเชื่อเรื่องไม่เข้าเรื่อง แล้วเขตบุญก็ย้ายออกจากพระพุทธศาสนาไปหาเขตบุญภายนอก ก็ยิ่งไปส่งเสริมให้ความเชื่อผิดปฏิบัติผิดแพร่หลายยิ่งขึ้น และแหล่งคำสอนที่ถูกต้อง คนก็ไม่เอาใจใส่ คนก็ยิ่งห่างจากหลักพระศาสนาออกไป ไม่รู้และไม่เอาใจใส่ในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า5. สนับสนุนพระพุทธศาสนา หมายความว่าทำการขวนขวาย ทะนุบำรุงอุปถัมภ์พระสงฆ์ และกิจการพระพุทธศาสนา ที่จะทำให้พระธรรมวินัยเจริญมั่นคง ช่วยกันดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นกุศลแท้จริง ที่เป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรม ที่จะทำให้ศีลธรรมเจริญงอกงาม23. เรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา [6823-3d]
57:31||Season 68, Ep. 23การศึกษาปฏิบัติธรรม เปรียบเสมือน ”การจับงูพิษ” ถ้าจับไม่ถูกต้อง ไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะเกิดอันตรายกับตนเองและผู้อื่นได้ แทนที่จะละวางความยึดถือลงแต่กลับยึดถือขึ้นมาแทน“ธรรม” ที่ดูเหมือนจะเป็น “เรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดานี้” หมายถึง เรื่องพื้นฐานแต่มีความสำคัญ จึงต้องหยิบมาทำการศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างละเอียด โดยได้ยกพุทธพจน์ คำอุทาน พระสูตร มาประกอบ พอจะสรุปได้ดังนี้1. สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา2. สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด3. ฐานะ 5 ประการ ที่ใครๆ ก็ไม่พึงได้ คือ ขอสิ่งที่มีความแก่- เจ็บ- ตาย- ความสิ้นไป-ฉิบหายไป ว่า อย่าแก่เลย…ฯ4. เราจะมาได้ตามความปรารถนาใน “สิ่งที่มีความแตกดับเป็นธรรมดา” ว่า อย่าเสื่อม อย่าสิ้นไป มันจะไม่ได้5. มาพิจารณาอยู่เนืองๆว่าเรามีความแก่ / ความเจ็บ / ความตาย / ความพลัดพราก / กรรมของตนการมาพิจารณาอยู่เนือง ๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงในสังขารทั้งหลาย จะทำให้เราเกิดปัญญา วางความยึดถือด้วยเรื่องพื้นฐาน สูงขึ้นจนถึงระดับโลกุตระได้22. ว่าด้วยเรื่องของ "ลม" [6822-3d]
58:44||Season 68, Ep. 22วาโยธาตุ หรือที่เราเรียกว่า “ธาตุลม” เป็น 1 ใน มหาภูตรูป 4ธาตุลมประกอบไปด้วย :-ลมภายนอก คือ ธรรมชาติที่พัดไปมาอยู่นอกกาย เช่น ลมร้อน ลมหนาว ลมมีฝุ่น หรือ ลมไม่มีฝุ่น ลมตะวันออก..ฯลฯลมภายใน คือ ลมอันแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกาย เช่น ลมในกระเพาะ ลมในลำไส้ ลมหายใจเข้า-ออกลมภายในแบ่งได้เป็น :-ลมปราณ คือ ลมหายใจเข้า-ออก1. ลมหายใจต่อกาย-ทิ้งกาย หมายถึง ลมทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงร่างกาย และทำลายร่างกายไปในกระบวนการเดียวกัน (มีการเผาผลาญในกาย)2. ลมหายใจต่อจิต (การมีสติสัมปชัญญะรู้ลมหายใจ) / ทิ้งจิต (ปล่อยสติเผลอเพลิน)ลมปาก คือ ลมที่ผ่านหลอดเสียง ที่ออกจากกายไปสู่ภายนอก เป็นลักษณะของสัญญาเปลี่ยนแปลงไปตามการปรุงแต่ง (สังขาร) และสื่อออกมาทางลมปาก ได้แก่1) ลมเหม็น (คูถภาณี) คือ ผู้มีวาจาภาษาพูดเหมือนคูถหรืออุจจาระ เกิดจากจิตที่เป็นอกุศลที่ปรุ่งแต่งออกมาทางวาจา เป็น “วจีทุจริต” ได้แก่ 1.1 การพูดเท็จ พูดปด พูดไม่จริง พูดบิดเบือน ไม่เกิดประโยชน์1.2 พูดส่อเสียด ยุยงให้แตกกัน บาดหมาง พูดใส่ร้าย-ป้ายสี1.3 พูดคำหยาบ ได้แก่ “คำหยาบคาย” คือ พูดทิ่มแทงให้เจ็บใจ แดกดัน เสียดสี เหน็บแนม / “คำหยาบโลน” คือ พูดภาษาใต้สะดือ ใช้สรรพนามของสัตว์แทนคน1.4 พูดเพ้อเจ้อ ได้แก่ “พูดพล่าม” คือ คำพูดที่โปรยประโยชน์ทิ้ง ไร้สาระ หาประโยชน์ไม่ได้ (พูดเยอะแต่ไม่เกิดประโยชน์) / “พูดเหลวไหล” คือ คำพูดเลอะเทอะ ไม่มีหลักฐานอ้างอิง หาประโยชน์ไม่ได้ เช่น คำพูดมุกตลก2) ลมหอม (ปุปผภาณี) คือ ผู้มีวาจาพูดภาษาดอกไม้ ได้แก่ พูดคำจริง ไม่พูดเท็จ3) ลมหวาน (มธุภาณี) คือ ผู้มีวาจาพูดภาษาน้ำผึ้ง ได้แก่ พูดความจริงไพเราะจับใจ ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร เป็นผู้ละเว้นคำหยาบ3.1 พูดจริง ดี มีประโยชน์ รู้กาลที่เหมาะสมแล้วจึงพูด / เว้นคำพูดจริงแต่ไม่มีประโยชน์ ไม่ประกอบด้วยกาล3.2 พูดสมานไมตรี ให้เกิดความสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น3.3 พูดไพเราะ เป็นคำพูดที่ “อ่อนหวาน” สุภาพ มีถ้อยคำที่สละสลวย ฟังแล้วลื่นหู / “คำพูดดื่มด่ำดูดดื่ม” มีคติธรรม ฟังแล้วจับใจ3.4 พูดมีประโยชน์ มีหลักฐานอ้างอิง เป็นคำจริง ประกอบด้วยกาลเทศะ*ลักษณะคำพูดที่หอมหวานนั้นคือ เป็นมงคล เป็นวาจาสุภาษิต ฟังแล้วเกิดความรู้สึกซาบซึ้งเบิกบาน เป็นวาจาที่หาโทษมิได้21. ธรรมสมาธิ 5 ประการ [6821-3d]
53:22||Season 68, Ep. 21“ธรรมสมาธิ” คือ ธรรมที่ทำให้เกิดความมั่นสนิทในธรรม เป็นธรรมที่ทำให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง และกำจัดความสงสัยเสียได้ เมื่อเกิดความมั่นสนิทในธรรมแล้ว ก็จะเกิดจิตตสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิตตามมา ธรรมสมาธิมี 5 ประการ คือ1) ปราโมทย์ คือ ความชื่นบานใจ ความร่าเริงสดใส เป็นความชื่นบานใจในธรรม ความร่าเริงสดใสในธรรม เป็นปราโมทย์ที่ไม่อาศัยอามิส2) ปีติ คือ ความอิ่มใจ ความปลื้มใจ เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติธรรม มี 5 ระดับ คือ ขุททกาปีติ ขณิกาปีติ โอกกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ และผรณาปีติ 3) ปัสสัทธิ ความสงบระงับภายใน ความสงบเย็นกายเย็นใจ ความผ่อนคลายรื่นสบาย ไม่มีความเดือดร้อนกระวนกระวายใจมารบกวนให้หงุดหงิดรำคาญใจ 4) โสมนัส ความสุข ความสบาย ความรื่นใจไร้ความข้องขัด ปราศจากความทุกข์ร้อนใด ๆ ที่จะมารบกวนขัดขวางให้ไม่อยากปฏิบัติธรรม มีแต่ความสุขสบายกายและใจ ยินดีในการปฏิบัติธรรม5) สมาธิ ความสงบตั้งมั่นของจิต ไม่มีสิ่งรบกวนเร้าระคาย จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่วอกแวก ไม่มีอารมณ์ภายนอกมารบกวนให้หงุดหงิดรำคาญใจธรรมทั้ง 5 ประการนี้ เป็นกระบวนการที่เป็นส่วนสนับสนุนให้บุคคลเกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรม มีความแช่มชื่นยินดีในการปฏิบัติธรรมให้เกิดผลสำเร็จ เป็นธรรมหรือคุณสมบัติสำคัญของจิตใจที่ทุกคนควรทำให้เกิดมีอยู่เสมอ ธรรมสมาธิ 5 ประการนี้ จะเกิดขึ้นต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ การใคร่ควรโดยแยบคาย ซึ่งมีอยู่หลายแนวทาง ในตอนนี้จะยกเอาแนววิธีการที่ท่านพระอนุรุทธะได้ทำไว้มากล่าว และพระพุทธเจ้าทรงเรียกแนวทางนี้ว่า มหาปุริสวิตก 8 ประการ ได้แก่ธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มักน้อย มิใช่ของผู้มักมากธรรมคำสอนนี้สำหรับของบุคคลผู้สันโดษ มิใช่ของผู้ไม่สันโดษธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้สงัด มิใช่ของผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของผู้เกียจคร้านธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่ของผู้มีสติหลงลืมธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มีจิตมั่นคงเป็นสมาธิ มิใช่ของผู้มีจิตไม่มั่นคงธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของผู้มีปัญญาทรามธรรมคำสอนนี้สำหรับบุคคลผู้ยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า มิใช่ของผู้ยินดีในธรรม20. ตัณหา [6820-3d]
56:12||Season 68, Ep. 20ตัณหา เป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีก มีความเป็นสภาวะขึ้นมา ประกอบด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน อันเป็นเครื่องให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ เพราะฉะนั้นต้องประกอบด้วยการเกิดอีกให้เป็นสภาวะขึ้นมา เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา มีความกำหนัด มีความเพลิน โดยนัยยะนี้ได้แบ่งตัณหาเป็น 3 อย่างดังนี้1.กามตัณหา คือความกำหนัดยินดีพอใจและความเพลินในรูปผ่านทางตา เสียงผ่านทางหู กลิ่นผ่านทางจมูก รสผ่านทางลิ้น และโผฏฐัพพะผ่านทางกาย และความอยากได้กามคุณคือสิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า2.ภวตัณหา คือ ความอยากในภาวะของตัวตนที่จะได้จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ความอยากมี อยากเป็น อยากคงอยู่ตลอดไป3.วิภวตัณหา คือ ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตนจากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา ความไม่อยากเป็น อยากดับสูญส่วนตัณหา 108 นั้นมาจากคำว่าตัณหาวิจริตคือความนึกที่แผ่ซ่านด้วยอำนาจของตัณหาคือความเพลินซ่านไปแผ่ไป โดยแผ่ซ่านกระจายไปในขันธ์อันเป็นภายใน 18 อย่าง ขันธ์อันเป็นภายนอกอีก18อย่าง ทั้ง 2 นี้ รวม 36 อย่าง 3 กาลคือ ปัจจุบัน อดีต และอนาคต จึงเป็นตัณหา 108 นั่นเอง